ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในประเทศไทยเติบโตอย่างก้าวกระโดด แต่การเติบโตนี้มาพร้อมกับปรากฏการณ์ที่ร้อนแรงไม่แพ้กัน นั่นคือ "สงครามราคา" ที่ดูเหมือนจะไม่มีวันสิ้นสุด ค่ายรถยนต์ โดยเฉพาะแบรนด์จากจีน ต่างงัดกลยุทธ์ลดแลกแจกแถมอย่างหนัก เพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งตลาด ทำให้ราคาขายปลีกถูกปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง และส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไทยทั้งหมด
สงครามที่ยังไม่เห็นจุดจบ
การลดราคาของรถ EV รุ่นใหม่ๆ ไม่ใช่แค่การจัดโปรโมชันชั่วคราว แต่ได้กลายเป็นกลไกหลักในการแข่งขัน ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากหลายปัจจัย ดังนี้
การแข่งขันที่รุนแรง: ผู้ผลิตหน้าใหม่จำนวนมาก โดยเฉพาะจากจีน เข้ามาทำตลาดอย่างดุดัน ทำให้เกิดภาวะสินค้าล้นตลาด (Over Supply) และต้องใช้ราคาเป็นเครื่องมือในการระบายสต็อก
การรอคอยของผู้บริโภค: เมื่อมีการลดราคาบ่อยครั้ง ผู้บริโภคที่ต้องการซื้อรถจึงมีแนวโน้มที่จะ "ชะลอการตัดสินใจซื้อ" เพื่อรอดูว่าราคาจะลดลงอีกหรือไม่ หรือจะมีแคมเปญใหม่ที่ดีกว่าเดิมออกมาหรือไม่ พฤติกรรมนี้ยิ่งกดดันให้ผู้ผลิตต้องลดราคาลงไปอีก
นโยบายรัฐและการผลิตในประเทศ: การสนับสนุนจากภาครัฐ รวมถึงแผนการตั้งฐานการผลิตในไทยในระยะต่อไป ทำให้ต้นทุนการผลิตในประเทศอาจถูกลง ซึ่งเปิดโอกาสให้มีการปรับลดราคาอีกในอนาคต
ผลกระทบวงกว้างที่เกินกว่าราคาขาย
สงครามราคา EV ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การตัดราคารถใหม่ แต่ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งตลาดรถยนต์
กระทบต่อผู้ซื้อเดิมและความเชื่อมั่น: ผู้ที่ซื้อรถ EV ไปก่อนหน้าในราคาสูง ย่อมรู้สึกไม่พอใจเมื่อรถรุ่นเดียวกันถูกปรับลดราคาลงมาหลายแสนบาทในเวลาอันสั้น ทำให้ มูลค่ารถลดลงอย่างรวดเร็ว (Depreciation) จนกลายเป็น "ฝันร้ายของการขายต่อ" ส่งผลให้ความเชื่อมั่นในแบรนด์และราคาที่กำหนดไว้แต่แรกหายไป
กระทบตลาดรถมือสอง: เมื่อรถ EV ใหม่ลดราคาอย่างหนัก ย่อมส่งผลให้ราคารถยนต์มือสอง ทั้งรถ EV และรถยนต์สันดาปภายใน (ICE) ต้องปรับลดลงตามไปด้วย ทำให้ตลาดรถมือสองซบเซาลงอย่างมาก และทำให้เจ้าของรถมือสองมี "ความมั่งคั่ง" (Wealth) ลดลง
กระทบต่อสถาบันการเงิน: การที่มูลค่ารถ EV ตกลงอย่างรวดเร็ว ทำให้สถาบันการเงินต้องเพิ่มความระมัดระวังในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ เพราะความเสี่ยงที่รถจะเป็นหนี้เสีย หรือเมื่อยึดรถแล้วจะได้ราคาต่ำกว่าที่ประเมินไว้จะสูงขึ้น
กระทบต่อประกันภัย: ข้อมูลจากตลาดบ่งชี้ว่า บริษัทประกันหลายแห่งเริ่มมีความกังวลเกี่ยวกับต้นทุนการซ่อมรถ EV ที่สูงกว่ารถยนต์ทั่วไป รวมถึงความไม่แน่นอนในการหาอะไหล่และราคารถที่ผันผวน ส่งผลให้ เบี้ยประกันภัยรถ EV มีแนวโน้มสูงขึ้น หรือมีการรับประกันที่เข้มงวดมากขึ้น
ผู้ใช้รถจะอยู่รอดในสมรภูมินี้ได้อย่างไร
ในฐานะผู้บริโภค เราอาจรู้สึกเหมือนกำลังยืนอยู่กลางสมรภูมิราคาที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน การวางแผนทางการเงินที่รอบคอบจึงสำคัญอย่างยิ่ง
เมื่อราคาตัวรถลดลงอย่างต่อเนื่อง สิ่งหนึ่งที่ผู้ใช้รถควบคุมได้และเป็นเกราะป้องกันความเสี่ยง คือ การบริหารความเสี่ยงด้านการใช้งาน เพราะไม่ว่าราคารถจะลดลงแค่ไหน แต่ความเสี่ยงจากอุบัติเหตุ ความเสียหาย หรือความรับผิดต่อบุคคลภายนอกยังคงอยู่
ดังนั้น สิ่งสำคัญที่คนใช้รถ ไม่ว่าจะเป็นรถ EV หรือรถยนต์ประเภทอื่น ควรทำคือ การเลือกทำประกันรถยนต์ที่ให้ความคุ้มครองครบถ้วนและคุ้มค่า เพื่อรองรับความเสี่ยงด้านการซ่อมแซมที่มีค่าใช้จ่ายสูง และความเสี่ยงต่อมูลค่ารถที่ลดลงอย่างรวดเร็ว
หากคุณกำลังมองหาแผนประกันรถยนต์ที่พร้อมจะดูแลคุณในทุกสถานการณ์ของตลาดรถยนต์ที่ผันผวนเช่นนี้ เราขอแนะนำให้คุณปรึกษา Allinsure ซึ่งเป็นผู้ให้บริการที่รวบรวมผลิตภัณฑ์ประกันภัยรถยนต์จากหลากหลายบริษัทชั้นนำมาให้คุณเปรียบเทียบและเลือกในราคาที่เหมาะสม พร้อมคำแนะนำที่ตอบโจทย์ความเสี่ยงเฉพาะตัวของรถ EV และรถของคุณ เพื่อให้คุณสามารถขับขี่ได้อย่างมั่นใจในทุกการเดินทาง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น