แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Knowledge แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Knowledge แสดงบทความทั้งหมด

วันพฤหัสบดีที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2568

🔥 Copayment เงื่อนไขใหม่ ที่ทำให้เบี้ยประกันสุขภาพถูกลง (ถ้าเคลมเป็น!)

Copayment

          ในโลกของประกันสุขภาพ คำว่า "Copayment" (การร่วมจ่าย) ได้กลายเป็นประเด็นสำคัญที่ผู้บริโภคชาวไทยควรทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ได้เข้ามาวางหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนขึ้น ซึ่งมีผลบังคับใช้กับกรมธรรม์ประกันสุขภาพฉบับใหม่ๆ บทความนี้จะอธิบายว่า Copayment คืออะไร มีผลกระทบอย่างไร และเหตุผลเบื้องหลังการใช้เงื่อนไขนี้

🏥 "Copayment" (การร่วมจ่าย) คืออะไร? เจาะลึกเงื่อนไขใหม่ของประกันสุขภาพ ที่คนไทยต้องรู้!

Copayment คืออะไร?

          Copayment (โคเพย์เมนต์) หรือ การร่วมจ่าย คือเงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันสุขภาพที่กำหนดให้ผู้เอาประกันภัยมีส่วน ร่วมรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลบางส่วน ร่วมกับบริษัทประกันภัย

          ในทางปฏิบัติ หมายความว่า เมื่อคุณเข้ารับการรักษาและมีการเคลมค่าใช้จ่าย ผู้เอาประกันไม่ได้โอนความเสี่ยงทางการเงินทั้งหมดไปให้บริษัทประกัน แต่ต้องจ่ายเงินส่วนหนึ่งตามอัตราหรือจำนวนเงินที่ระบุไว้ในสัญญากรมธรรม์

Copayment แตกต่างจาก "Deductible" อย่างไร?

          ผู้คนมักสับสนระหว่าง Copayment กับ Deductible (ค่าความรับผิดส่วนแรก) ซึ่งมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน

คุณสมบัติ Copayment (การร่วมจ่าย) Deductible (ค่าความรับผิดส่วนแรก)
ลักษณะการจ่าย จ่ายเป็น % ของค่ารักษา หรือ จำนวนเงินคงที่ จ่ายเป็น จำนวนเงินคงที่ ต่อรอบปีกรมธรรม์
เวลาที่จ่าย จ่าย ทุกครั้ง ที่มีการเคลม (ในบางกรณี) หรือจ่ายในปีที่มีเงื่อนไข จ่าย ครั้งแรก ที่มีการเคลม (จนกว่าจะครบวงเงินที่กำหนด)
วัตถุประสงค์ ควบคุมพฤติกรรมการเคลมบ่อยเกินไป/ลดภาระเบี้ยประกัน ลดภาระเบี้ยประกัน ทำให้เบี้ยถูกลง/ควบคุมการเคลม

เหตุผลเบื้องหลัง: ทำไม Copayment ถึงมีความจำเป็น?

          คปภ. ชี้แจงว่า การนำเงื่อนไข Copayment มาใช้ (โดยเฉพาะแบบที่ใช้กับการต่ออายุ) มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อ รักษาเสถียรภาพของระบบประกันสุขภาพโดยรวม ไม่ใช่เพื่อเอื้อประโยชน์แก่บริษัทประกัน

  1. ชะลอการเพิ่มขึ้นของเบี้ยประกัน: เนื่องจากต้นทุนการรักษาพยาบาลและอัตราเงินเฟ้อทางการแพทย์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การให้ผู้เอาประกันร่วมจ่ายบางส่วนจะช่วยควบคุมการเคลมที่ไม่จำเป็น และทำให้บริษัทประกันไม่ต้องปรับเพิ่มเบี้ยประกันสูงเกินไป
  2. ลดการใช้สิทธิ์เกินความจำเป็น: เพื่อลดพฤติกรรมการเข้าโรงพยาบาลเป็นผู้ป่วยใน (IPD) ด้วยอาการป่วยเล็กน้อยที่สามารถรักษาแบบผู้ป่วยนอก (OPD) ได้ หรือการเคลมบ่อยครั้งด้วยอาการที่ไม่ซับซ้อน
  3. ส่งเสริมความยั่งยืนของระบบ: เมื่อต้นทุนค่าสินไหมทดแทนถูกควบคุมได้ บริษัทประกันก็จะสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างมั่นคง และให้บริการคุ้มครองสุขภาพแก่ประชาชนได้ในระยะยาว

ประเภทของ Copayment ตามแนวทาง คปภ. ล่าสุด

          ตามแนวทางของ คปภ. สามารถแบ่งรูปแบบการใช้ Copayment ออกเป็น 2 ลักษณะหลัก

  1. Copayment แบบสมัครใจ (ตั้งแต่เริ่มต้นทำประกัน)
    • หลักการ: ผู้เอาประกันสมัครใจเลือกซื้อกรมธรรม์ที่มีเงื่อนไขร่วมจ่ายตั้งแต่แรก โดยอาจร่วมจ่ายเป็นเปอร์เซ็นต์ (เช่น 10% หรือ 20%) หรือเป็นจำนวนเงิน (เช่น 10,000 บาทแรก)
    • ข้อดี: ผู้เอาประกันจะได้รับ ส่วนลดเบี้ยประกันภัยที่ถูกกว่า กรมธรรม์แบบเหมาจ่ายเต็มจำนวนทันที
  2. Copayment แบบมีเงื่อนไข (ใช้ในการต่ออายุกรมธรรม์)
  3. รูปแบบนี้คือการที่ผู้เอาประกันภัย ต้องเริ่มร่วมจ่ายในปีถัดไป หากในปีปัจจุบันมีพฤติกรรมการเคลมเข้าข่ายที่กำหนด โดยมีเงื่อนไขหลักที่สำคัญดังนี้

    ลักษณะการเคลมที่เข้าข่าย (ต้องเข้าครบทุกข้อ) ผลที่ตามมา (ร่วมจ่ายในปีกรมธรรม์ถัดไป)
    เคลมผู้ป่วยใน (IPD) ด้วยโรคเล็กน้อย ตั้งแต่ 3 ครั้งขึ้นไป และมีอัตราการเคลมรวม 200% ขึ้นไปของเบี้ยประกันสุขภาพ ร่วมจ่ายค่ารักษา ไม่เกิน 30% ในปีถัดไป
    เคลมผู้ป่วยใน (IPD) ด้วยโรคทั่วไป (ไม่รวมโรคร้ายแรงและการผ่าตัดใหญ่) ตั้งแต่ 3 ครั้งขึ้นไป และมีอัตราการเคลมรวม 400% ขึ้นไปของเบี้ยประกันสุขภาพ ร่วมจ่ายค่ารักษา ไม่เกิน 30% ในปีถัดไป
    หากเข้าทั้งสองกรณี ร่วมจ่ายค่ารักษา สูงสุดไม่เกิน 50% ในปีถัดไป

สรุปผลกระทบต่อผู้บริโภค

  1. ผู้ที่ถือกรมธรรม์เดิม: กรมธรรม์ที่ซื้อและอนุมัติก่อนที่จะมีการบังคับใช้หลักเกณฑ์ใหม่ จะ ไม่มีผลกระทบทันที แต่เงื่อนไข Copayment อาจถูกนำมาใช้ในการต่ออายุสัญญา โดยบริษัทประกันจะต้องระบุเงื่อนไขและแจ้งให้ทราบอย่างชัดเจน
  2. ผู้ที่จะซื้อกรมธรรม์ใหม่: ควรทำความเข้าใจอย่างละเอียดถึงเงื่อนไข Copayment ทั้งแบบสมัครใจ (เพื่อรับเบี้ยถูกลง) และแบบมีเงื่อนไข (เพื่อหลีกเลี่ยงการร่วมจ่ายในภายหลัง)
  3. ผู้ที่มีประวัติเคลมปกติ: ผู้ที่มีพฤติกรรมการเคลมอย่างสมเหตุสมผล และไม่เคลมบ่อยจนเกินเกณฑ์ที่กำหนด จะ ไม่ได้รับผลกระทบ จากเงื่อนไขการร่วมจ่ายในการต่ออายุนี้ และยังคงได้รับความคุ้มครองเต็มจำนวนตามกรมธรรม์

          ข้อแนะนำสำคัญ: การร่วมจ่ายเป็นเครื่องมือในการสร้างวินัยทางการเงินและลดภาระเบี้ยประกันในระยะยาว ผู้บริโภคจึงควรพิจารณาเลือกแผนประกันที่เหมาะสมกับความสามารถในการรับความเสี่ยงและพฤติกรรมการใช้ชีวิตของตนเองมากที่สุด

วันอังคารที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2568

SUV คืออะไร? ไขทุกข้อสงสัย: ทำไมรถยนต์อเนกประสงค์ถึงครองใจคนทั่วโลกได้สำเร็จ

SUV คืออะไร?

ทำความรู้จักกับ "รถ SUV": ยานยนต์อเนกประสงค์ที่ครองใจคนทั่วโลก

          รถยนต์ประเภท SUV (Sport Utility Vehicle) ได้กลายเป็นหนึ่งในประเภทรถยนต์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก ด้วยการผสมผสานคุณสมบัติที่ดีที่สุดของรถยนต์หลายประเภทเข้าไว้ด้วยกัน ทำให้ตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลาย ตั้งแต่การขับขี่ในเมืองไปจนถึงการเดินทางไกลที่ต้องการความสมบุกสมบัน

1. รถ SUV คืออะไร?

          SUV ย่อมาจาก Sport Utility Vehicle หรือ "รถสปอร์ตอเนกประสงค์" เป็นรถยนต์นั่งที่มีคุณสมบัติเด่นดังนี้

  • รูปลักษณ์แข็งแกร่งและสปอร์ต: มีดีไซน์ที่ดูแข็งแรง ทรงพลัง และมีความสปอร์ตในตัว
  • ความอเนกประสงค์สูง: มีพื้นที่ห้องโดยสารที่กว้างขวาง มักรองรับผู้โดยสารได้ 5-7 ที่นั่ง และมีพื้นที่บรรทุกสัมภาระที่มากกว่ารถเก๋งซีดานทั่วไป
  • ความสูงจากพื้น (Ground Clearance): ตัวรถถูกยกสูงกว่ารถยนต์ทั่วไป ทำให้มีทัศนวิสัยในการขับขี่ที่ดี และสามารถขับขี่บนเส้นทางที่ไม่ราบเรียบหรือมีอุปสรรคได้อย่างมั่นใจ รวมถึงสามารถลุยน้ำท่วมได้ในระดับหนึ่ง
  • สมรรถนะ: มักมาพร้อมกับเครื่องยนต์ที่มีกำลังดี และบางรุ่นมีระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ (4WD/AWD) เพื่อเพิ่มความสามารถในการขับขี่แบบออฟโรดเบาๆ ได้

          รถ SUV ถูกออกแบบมาให้ตอบโจทย์การใช้งานของคนยุคใหม่ที่ต้องการรถยนต์ที่สามารถใช้งานได้ในชีวิตประจำวันอย่างสะดวกสบาย และพร้อมสำหรับการผจญภัยในวันหยุด

2. SUV คันแรกของโลก ถูกผลิตขึ้นที่ประเทศใด?

          การระบุรถ SUV คันแรกของโลก นั้นค่อนข้างซับซ้อน เนื่องจากคำจำกัดความของ "SUV" มีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย แต่หากพิจารณายานยนต์ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการเป็นรถบรรทุกเบาที่ใช้โครงสร้างตัวถังแบบเดียวกับรถยนต์นั่ง และมีความสามารถในการลุยได้ (เป็นบรรพบุรุษของ SUV สมัยใหม่) ยานยนต์ที่ได้รับการยอมรับในฐานะผู้บุกเบิกในกลุ่มนี้คือ Chevrolet Suburban Carryall

  • ยานยนต์ผู้บุกเบิก: Chevrolet Suburban Carryall
  • ปีที่ผลิตครั้งแรก: ค.ศ. 1935 (พ.ศ. 2478)
  • ประเทศที่ผลิต: สหรัฐอเมริกา (United States of America)

          Chevrolet Suburban Carryall ถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานของรถบรรทุก แต่มีการติดตั้งตัวถังแบบสถานี (Station Wagon) ที่สามารถบรรทุกผู้โดยสารได้จำนวนมาก ถือเป็นต้นกำเนิดของรถยนต์อเนกประสงค์ขนาดใหญ่ที่เน้นทั้งการบรรทุกผู้คนและสัมภาระ ซึ่งเป็นแนวคิดหลักของรถ SUV ในปัจจุบัน

3. SUV ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในโลก ปี 2025

          เนื่องจากปี 2025 ยังไม่สิ้นสุด และข้อมูลยอดขายรถยนต์ทั่วโลกในระดับ "สูงสุด" มักจะได้รับการรวบรวมและยืนยันอย่างเป็นทางการในช่วงปลายปีหรือต้นปีถัดไป อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลความนิยมและการจัดอันดับในช่วงเวลานี้ รุ่นที่มักติดอันดับรถ SUV ที่ได้รับความนิยมสูงสุดและมียอดขายโดดเด่นในตลาดโลกอย่างต่อเนื่อง (ซึ่งคาดว่าจะยังคงเป็นที่นิยมในปี 2025) ได้แก่

  • Toyota RAV4: มักจะครองตำแหน่งรถ SUV ที่ขายดีที่สุดในโลกเป็นประจำ ด้วยชื่อเสียงด้านความน่าเชื่อถือ ความประหยัด และการเป็นรถที่ใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน
  • Honda CR-V: เป็นอีกรุ่นที่ได้รับความนิยมอย่างสูงทั่วโลก ด้วยการขับขี่ที่นุ่มนวล ห้องโดยสารกว้างขวาง และเทคโนโลยีความปลอดภัยที่ครบครัน ซึ่งมีการฉลองครบรอบ 30 ปี และมียอดขายสะสมทั่วโลกทะลุ 15 ล้านคัน
  • Tesla Model Y: ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา Model Y ได้ขึ้นมาเป็นหนึ่งในรถยนต์ไฟฟ้าที่ขายดีที่สุดในโลก โดยเฉพาะในตลาดใหญ่ๆ อย่างสหรัฐอเมริกาและยุโรป ด้วยกระแสความนิยมในรถยนต์ไฟฟ้า ทำให้มันกลายเป็น SUV ที่มีอิทธิพลอย่างมากในตลาดโลก

4. SUV ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในไทย

          ในตลาดประเทศไทย ความนิยมของรถ SUV มีการแบ่งกลุ่มที่ชัดเจนระหว่าง SUV (Crossover) และ PPV (Pick-up Passenger Vehicle) ซึ่งมีที่มาจากรถกระบะ และได้รับความนิยมสูงมากเช่นกัน

  • กลุ่ม Crossover SUV (ตัวถังแบบ Monocoque)
    • Toyota Corolla Cross: เป็นหนึ่งในรุ่นที่ทำยอดขายได้ดีอย่างต่อเนื่องในกลุ่มรถ SUV ขนาดกลาง ด้วยราคาที่เข้าถึงง่าย ตัวเลือกเครื่องยนต์ไฮบริด และความเชื่อมั่นในแบรนด์โตโยต้า
    • Honda HR-V / Honda CR-V: ได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ใช้ที่ต้องการความหรูหรา สะดวกสบาย และเทคโนโลยีที่ทันสมัย
  • กลุ่ม PPV (SUV พื้นฐานรถกระบะ
    • Toyota Fortuner: ครองตำแหน่งรถ PPV ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในไทยมาอย่างยาวนาน ด้วยชื่อเสียงด้านความทนทาน สมรรถนะที่พร้อมลุย และความนิยมในตลาดมือสอง
    • Isuzu MU-X / Mitsubishi Pajero Sport / Ford Everest: เป็นรุ่นที่ได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มผู้ใช้ที่ต้องการรถครอบครัว 7 ที่นั่งที่เน้นความสมบุกสมบัน สามารถขับขี่ในทางออฟโรดได้ดี และมีค่าบำรุงรักษาที่ไม่ซับซ้อนเท่ารถนำเข้าบางรุ่น

           โดยรวมแล้ว Toyota Fortuner และ Toyota Corolla Cross มักถูกจัดอยู่ในกลุ่มรถ SUV/PPV ที่ได้รับความนิยมและมียอดขายสูงที่สุดในตลาดประเทศไทยมาโดยตลอด จากปัจจัยด้านความน่าเชื่อถือของแบรนด์และเครือข่ายบริการที่ครอบคลุมทั่วประเทศ

วันศุกร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2568

🚨 ด่วน! คปภ. สั่งเพิ่มวงเงินคุ้มครอง "บุคคลภายนอก" ขั้นต่ำ เป็น 20 ล้านบาท เริ่มปี 69

คปภ. ประกาศปรับเพิ่มความคุ้มครอง! วงเงินขั้นต่ำ 'บุคคลภายนอก' ทะยานแตะ 20 ล้านบาท 🛡️

คปภ.เพิ่มวงเงินคุ้มครองบุคคลภายนอก

          สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ได้ออกประกาศสำคัญที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจทุกฉบับ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับความคุ้มครองและให้การเยียวยาผู้ประสบภัยจากรถได้อย่างเพียงพอในกรณีเกิดอุบัติเหตุร้ายแรง

ประกาศฉบับนี้คืออะไร?

          ประกาศนี้คือ คำสั่งนายทะเบียนที่ 51/2568 (ลงวันที่ 26 สิงหาคม 2568) ที่สั่งให้มีการแก้ไขแบบและข้อความในกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์และกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า โดยมีสาระสำคัญคือ การปรับเพิ่มวงเงินความคุ้มครองขั้นต่ำ ในหมวดความรับผิดชอบต่อบุคคลภายนอก (Liability to Third Party) ในกรณีที่เกิดความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย หรือการทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง

ประกาศฉบับนี้มีผลกับใครบ้าง?

          ประกาศนี้มีผลบังคับใช้กับ กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจทุกประเภท ที่ทำประกันภัยในประเทศไทย โดยมีรายละเอียดดังนี้:

  1. บริษัทประกันภัย: ต้องปรับแก้รูปแบบกรมธรรม์ให้เป็นไปตามคำสั่งนี้ และต้องให้ความคุ้มครองขั้นต่ำตามที่กำหนด
  2. ผู้เอาประกันภัย (เจ้าของรถ): กรมธรรม์ภาคสมัครใจที่ทำใหม่หรือต่ออายุหลังวันบังคับใช้ จะได้รับความคุ้มครองความเสียหายต่อบุคคลภายนอกเพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติ
  3. บุคคลภายนอก (ผู้ประสบภัย): ได้รับประโยชน์โดยตรง เนื่องจากในกรณีเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง วงเงินขั้นต่ำในการเยียวยาจะสูงขึ้นอย่างมาก

ประกาศฉบับนี้เริ่มใช้เมื่อใด?

          ประกาศคำสั่งนายทะเบียนนี้จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป

          หมายความว่า กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ (ชั้น 1, 2+, 3+, 2, 3) ที่มีการทำใหม่หรือต่ออายุตั้งแต่วันดังกล่าว จะต้องมีวงเงินความคุ้มครองขั้นต่ำตามเกณฑ์ใหม่

สรุปสาระสำคัญเกี่ยวกับประกาศนี้

          สาระสำคัญของคำสั่งนายทะเบียนนี้คือการยกระดับความคุ้มครองด้านชีวิตและร่างกายของบุคคลภายนอกให้สูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด:

รายละเอียดความคุ้มครอง วงเงินคุ้มครอง เดิม (ขั้นต่ำ) วงเงินคุ้มครอง ใหม่ (ขั้นต่ำ)
ความรับผิดต่อชีวิต/ร่างกายบุคคลภายนอก (ต่อครั้ง) กรณีเสียชีวิต หรือ ทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง ไม่เกิน 10,000,000 บาท/ครั้ง ไม่น้อยกว่า 20,000,000 บาท/ครั้งำ

ผลกระทบสำคัญต่อผู้ใช้รถ:

  • สร้างความมั่นใจในการเยียวยา: การเพิ่มวงเงินขั้นต่ำเป็น 20 ล้านบาทต่อครั้ง จะช่วยให้ผู้เอาประกันภัยมีความอุ่นใจมากขึ้นว่า หากเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงที่มีผู้เสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิงหลายคน ความคุ้มครองจะมีเพียงพอต่อการเยียวยาความเสียหาย โดยไม่ต้องรับภาระทางกฎหมายที่สูงเกินไป
  • เบี้ยประกันอาจมีการปรับขึ้น: เนื่องจากบริษัทประกันต้องแบกรับความเสี่ยงที่สูงขึ้นเป็นเท่าตัวจากวงเงินขั้นต่ำที่เพิ่มขึ้น ผู้บริโภคจึงอาจเห็นการปรับเพิ่มของอัตราเบี้ยประกันภัยภาคสมัครใจโดยรวม โดยเฉพาะในหมวดความคุ้มครองความรับผิดต่อบุคคลภายนอก

          การเปลี่ยนแปลงนี้ถือเป็นมาตรการเชิงรุกของ คปภ. ที่มุ่งเน้นการคุ้มครองประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนนให้ครอบคลุมและเหมาะสมกับค่าครองชีพและความเสียหายในปัจจุบันมากขึ้น

เจาะลึก MHEV คืออะไร? ดียังไงทำไมรัฐบาลเล็งลดภาษี

          ในโลกของยานยนต์ยุคเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานไฟฟ้า (Electrification) เราได้ยินคำว่า EV, HEV, และ PHEV อยู่บ่อยครั้ง แต่ยังมีอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่เป็นสะพานเชื่อมสำคัญและได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว นั่นคือ MHEV หรือ Mild Hybrid Electric Vehicle (รถยนต์ไฟฟ้าไฮบริดแบบอ่อน)

          บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับ MHEV อย่างละเอียด ตั้งแต่กลไกการทำงาน ประวัติความเป็นมา ไปจนถึงความแตกต่างจากรถไฮบริดแบบเต็มรูปแบบ (HEV)

MHEV คืออะไร? (What is MHEV?)

          MHEV หรือ Mild Hybrid Electric Vehicle คือ ระบบลูกผสมระหว่างเครื่องยนต์สันดาปภายใน (Internal Combustion Engine - ICE) กับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาดเล็ก โดยมีจุดเด่นคือ มอเตอร์ไฟฟ้าจะไม่สามารถขับเคลื่อนรถได้ด้วยตัวเอง (ไม่สามารถวิ่งด้วยโหมด EV ล้วนได้)

          หน้าที่หลักของมอเตอร์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่แรงดันต่ำ (ส่วนใหญ่อยู่ที่ 12V, 48V หรือ 60V) คือการเข้ามา "ช่วยเหลือ" เครื่องยนต์เบนซินหรือดีเซลใน 3 ด้านหลัก

  • Assist (ช่วยเสริม): ช่วยออกแรงเสริมแรงบิด (Torque Assist) ขณะออกตัวหรือเร่งความเร็ว ซึ่งช่วยลดภาระการทำงานของเครื่องยนต์หลัก ทำให้ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงขึ้น
  • Start/Stop (สตาร์ทและดับเครื่อง): ทำหน้าที่เป็นมอเตอร์สตาร์ทที่มีประสิทธิภาพสูงและเงียบกว่าระบบสตาร์ททั่วไปมาก เพื่อให้ระบบ Start/Stop ทำงานได้เร็วและนุ่มนวล
  • Regeneration (กู้คืนพลังงาน): ทำหน้าที่กู้คืนพลังงานที่สูญเสียไปขณะเบรกหรือลดความเร็ว แล้วเปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้าเก็บไว้ในแบตเตอรี่

ทำไมจึงเกิด MHEV และใครเป็นผู้คิดค้น?

  1. ทำไมจึงเกิด MHEV?
  2.           MHEV ถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อเป็น "ทางออกที่สมเหตุสมผล" สำหรับผู้ผลิตรถยนต์ในการปฏิบัติตาม กฎระเบียบการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2 Emission Standards) ที่เข้มงวดมากขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะในยุโรป

    • ต้นทุนต่ำกว่า HEV/PHEV: การติดตั้งระบบ MHEV ที่ใช้มอเตอร์ขนาดเล็กและแบตเตอรี่แรงดันต่ำ มีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่าระบบไฮบริดแบบเต็มรูปแบบมาก
    • ปรับใช้กับรถเดิมได้ง่าย: สามารถนำระบบ MHEV ไปติดตั้งในรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในแบบเดิมได้โดยไม่ต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐานของรถยนต์มากนัก (Minimal Re-engineering)
    • ประสิทธิภาพที่ดีขึ้น: แม้จะเป็นการช่วยเสริมเพียงเล็กน้อย แต่ก็สามารถช่วยลดการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงได้ประมาณ 5-15% และลดการปล่อย CO2 ได้อย่างมีนัยสำคัญ
  3. ใครเป็นผู้คิดค้นและเริ่มต้นพัฒนาเมื่อใด?
  4.           แนวคิดในการใช้มอเตอร์ไฟฟ้าช่วยเสริมเครื่องยนต์สันดาปไม่ได้มีผู้คิดค้นคนเดียว แต่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องโดยหลายบริษัท

    • จุดเริ่มต้น: แนวคิดของระบบ Mild Hybrid เริ่มเป็นรูปเป็นร่างในเชิงพาณิชย์ในช่วงปลาย คริสต์ทศวรรษ 1990 (Late 1990s) ถึง ต้นคริสต์ทศวรรษ 2000 (Early 2000s)
    • ผู้บุกเบิกในยุคแรก:
      • Honda Insight (รุ่นแรก, 1999): แม้จะเป็นรถ HEV แต่ใช้ระบบที่เรียกว่า IMA (Integrated Motor Assist) ซึ่งถือเป็นรูปแบบเริ่มต้นของ Mild Hybrid เนื่องจากมอเตอร์มีบทบาทหลักในการ ช่วยเสริม และ ไม่สามารถขับเคลื่อนรถได้เอง
      • General Motors (GM): เป็นอีกหนึ่งผู้บุกเบิกที่นำเทคโนโลยีนี้มาใช้ในรถยนต์บางรุ่นในช่วงต้นยุค 2000s โดยใช้ชื่อทางการค้าที่หลากหลาย
  5. ประเทศใดเป็นผู้คิดค้น MHEV?
  6.           เนื่องจาก MHEV เป็นวิวัฒนาการทางเทคโนโลยี ไม่ได้มีประเทศใดประเทศหนึ่งที่คิดค้นอย่างโดดเดี่ยว แต่มีการพัฒนาและนำมาใช้เชิงพาณิชย์โดยผู้ผลิตรถยนต์จากหลายประเทศ โดยเฉพาะ ญี่ปุ่น (Honda) และ สหรัฐอเมริกา (GM) ในยุคแรก และได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในปัจจุบันโดยผู้ผลิตจาก เยอรมนี (Audi, Mercedes-Benz) และ อังกฤษ (Land Rover/Jaguar) เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานการปล่อยมลพิษของสหภาพยุโรป (EU)

แตกต่างกับ HEV อย่างไร? (MHEV vs. HEV)

          ความแตกต่างที่สำคัญที่สุดระหว่าง MHEV และ HEV (Full Hybrid Electric Vehicle - ไฮบริดแบบเต็มรูปแบบ) คือ ความสามารถในการขับเคลื่อน และ ขนาดของระบบไฟฟ้า

คุณสมบัติ MHEV (Mild Hybrid) HEV (Full Hybrid)
ความสามารถในการขับเคลื่อน ไม่สามารถ วิ่งด้วยไฟฟ้าล้วนได้ สามารถ วิ่งด้วยไฟฟ้าล้วนได้ในระยะสั้นๆ และความเร็วต่ำ
ขนาด/กำลังมอเตอร์ มอเตอร์ขนาดเล็ก (∼5−15 kW) มอเตอร์ขนาดใหญ่กว่า (∼20−100 kW)
แรงดันไฟฟ้าของแบตเตอรี่ ต่ำ (ส่วนใหญ่ 48V) สูง (ส่วนใหญ่ 200V ขึ้นไป)
การประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง ประมาณ 5−15% ประมาณ 25−50%
ต้นทุนระบบ ต่ำ สูง

ตัวอย่างรถยนต์ที่ใช้ระบบ MHEV

          ระบบ MHEV กำลังเป็นที่นิยมอย่างสูงในกลุ่มรถยุโรปพรีเมียม เนื่องจากช่วยให้เครื่องยนต์ขนาดใหญ่ประหยัดน้ำมันได้มากขึ้น โดยที่ต้นทุนไม่สูงเท่า HEV หรือ PHEV

  • Audi: Q5, A4, A6, A8 (ใช้ระบบ 12V และ 48V)
  • Mercedes-Benz: C-Class, E-Class, S-Class รุ่นที่ใช้เทคโนโลยี EQ Boost (48V)
  • BMW: 3 Series, 5 Series, และ X Series บางรุ่น
  • Land Rover / Jaguar: Discovery Sport, Range Rover Evoque, F-Pace บางรุ่น
  • Volvo: XC60, S60, และรุ่นอื่นๆ ที่ลงท้ายด้วยรหัส 'B' (เช่น B4, B5)

          MHEV เป็นทางเลือกที่ชาญฉลาดสำหรับผู้ที่ต้องการประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมันที่เพิ่มขึ้นและความนุ่มนวลในการขับขี่ ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่าระบบไฮบริดแบบเต็มรูปแบบ ทำให้มันเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่สำคัญที่สุดในปัจจุบันก่อนการเปลี่ยนผ่านสู่ยุค EV เต็มตัว

About