แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ รถev แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ รถev แสดงบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2568

ชาร์จไปถึงไหนแล้ว? ถอดรหัสโครงสร้างพื้นฐาน EV ไทย: ตัวเลขพุ่ง แต่ยังไม่พอใช้จริง

การชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในประเทศไทย

          โครงสร้างพื้นฐานการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในประเทศไทยกำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด จากการสนับสนุนของภาครัฐและผู้ประกอบการเอกชนหลายราย อย่างไรก็ตาม ยังมีความท้าทายในด้านความครอบคลุมและคุณภาพการให้บริการ

          นี่คือสรุปภาพรวมของโครงสร้างพื้นฐานการชาร์จ EV ในประเทศไทย ณ ช่วงเวลาปัจจุบัน:

1. ภาพรวมการเติบโตและจำนวนหัวชาร์จ

  • จำนวนสถานีชาร์จเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว: ประเทศไทยมีการขยายจำนวนสถานีชาร์จสาธารณะอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เพื่อรองรับจำนวนรถ EV ที่เพิ่มขึ้นตามมาตรการส่งเสริมของรัฐบาล

  • เป้าหมายของภาครัฐ: รัฐบาลมีเป้าหมายภายใต้นโยบาย 30@30 ที่จะผลักดันให้มี หัวชาร์จสาธารณะรวมกว่า 12,000 หัวจ่าย ภายในปี 2573 (ค.ศ. 2030) เพื่อให้เพียงพอต่อจำนวนรถ EV ที่คาดการณ์ว่าจะสูงถึง 2 ล้านคัน

2. ประเภทของหัวชาร์จและมาตรฐาน

  • ประเภทหัวชาร์จ

    • AC Charger: ชาร์จแบบกระแสสลับ (ช้า) ติดตั้งตามบ้าน อาคารสำนักงาน ห้างสรรพสินค้า เหมาะสำหรับจอดค้างคืนหรือจอดนานหลายชั่วโมง

    • DC Charger: ชาร์จแบบกระแสตรง (เร็ว) ติดตั้งตามปั๊มน้ำมัน สถานีบริการสาธารณะ เหมาะสำหรับการเดินทางไกลและต้องการความรวดเร็ว

3. ผู้ให้บริการหลักในตลาด

ตลาดสถานีชาร์จในไทยมีการแข่งขันสูง โดยมีผู้เล่นหลักจากทั้งภาครัฐและเอกชน ดังนี้:

  • กลุ่มพลังงาน (ปตท. และบริษัทในเครือ): เช่น EV Station PluZ (ขยายจุดชาร์จในปั๊ม PTT Station และพื้นที่เชิงพาณิชย์)

  • กลุ่มการไฟฟ้า: เช่น MEA EV (การไฟฟ้านครหลวง) และ PEA VOLTA (การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค) เน้นการขยายในเขตพื้นที่รับผิดชอบและเส้นทางหลักทั่วประเทศ

  • กลุ่มเอกชนและผู้ผลิตรถยนต์: เช่น EA Anywhere (พลังงานบริสุทธิ์), SHARGE, Elex by EGAT (กฟผ.), MG Super Charge, และผู้ประกอบการรายย่อยอื่นๆ ซึ่งเน้นทำเลในห้างสรรพสินค้าและอาคารสำนักงาน

4. อัตราค่าบริการ

  • ราคาแปรผันตามช่วงเวลา: ผู้ให้บริการส่วนใหญ่นำระบบ On-Peak (ช่วงเวลาที่มีการใช้ไฟฟ้าสูงสุด เช่น กลางวัน/เวลาทำงาน) และ Off-Peak (ช่วงที่มีการใช้ไฟฟ้าน้อย เช่น กลางคืน/วันหยุด) มาใช้ โดยราคาช่วง Off-Peak จะถูกกว่า เพื่อจูงใจให้ผู้ใช้ชาร์จในช่วงนอกเวลาเร่งด่วน

  • ราคาเฉลี่ย DC Fast Charge: อยู่ในช่วงประมาณ 7 - 8.5 บาท/หน่วย (ในช่วง On-Peak) และลดลงในช่วง Off-Peak

5. ความท้าทายหลักของโครงสร้างพื้นฐาน

  • ความครอบคลุมในต่างจังหวัด: แม้สถานีชาร์จจะเพิ่มขึ้น แต่ความหนาแน่นและระยะห่างระหว่างสถานีชาร์จเร็วในเส้นทางรอง หรือในพื้นที่ต่างจังหวัดยังคงเป็นปัญหาสำหรับผู้เดินทางไกล

  • ความพร้อมใช้งาน (Uptime): ปัญหาความไม่เสถียรของเครื่องชาร์จ หรือการจองคิวที่ยากลำบากในช่วงวันหยุดยาว ยังคงเป็นสาเหตุหลักของ "ความกังวลเรื่องการชาร์จ" (Charging Anxiety)

  • ความหลากหลายของแอปพลิเคชัน: ผู้ใช้ต้องติดตั้งและลงทะเบียนใช้งานหลายแอปพลิเคชัน (ตามผู้ให้บริการ) ทำให้เกิดความไม่สะดวกในการใช้งาน

  • คุณภาพไฟฟ้าและระบบ Grid: การเตรียมความพร้อมของระบบสายส่งและการบริหารจัดการพลังงานในพื้นที่ที่มีการชาร์จหนาแน่น (Smart Grid) เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องเร่งพัฒนาเพื่อรองรับกำลังการชาร์จที่สูงขึ้นในอนาคต

วันพฤหัสบดีที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2568

EV ดุ! สงครามราคาไม่จบง่าย ผู้ใช้รถจะอยู่รอดในสมรภูมินี้ได้อย่างไร

สงครามราคารถยนต์ไฟฟ้า

          ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในประเทศไทยเติบโตอย่างก้าวกระโดด แต่การเติบโตนี้มาพร้อมกับปรากฏการณ์ที่ร้อนแรงไม่แพ้กัน นั่นคือ "สงครามราคา" ที่ดูเหมือนจะไม่มีวันสิ้นสุด ค่ายรถยนต์ โดยเฉพาะแบรนด์จากจีน ต่างงัดกลยุทธ์ลดแลกแจกแถมอย่างหนัก เพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งตลาด ทำให้ราคาขายปลีกถูกปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง และส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไทยทั้งหมด

สงครามที่ยังไม่เห็นจุดจบ

          การลดราคาของรถ EV รุ่นใหม่ๆ ไม่ใช่แค่การจัดโปรโมชันชั่วคราว แต่ได้กลายเป็นกลไกหลักในการแข่งขัน ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากหลายปัจจัย ดังนี้

  1. การแข่งขันที่รุนแรง: ผู้ผลิตหน้าใหม่จำนวนมาก โดยเฉพาะจากจีน เข้ามาทำตลาดอย่างดุดัน ทำให้เกิดภาวะสินค้าล้นตลาด (Over Supply) และต้องใช้ราคาเป็นเครื่องมือในการระบายสต็อก

  2. การรอคอยของผู้บริโภค: เมื่อมีการลดราคาบ่อยครั้ง ผู้บริโภคที่ต้องการซื้อรถจึงมีแนวโน้มที่จะ "ชะลอการตัดสินใจซื้อ" เพื่อรอดูว่าราคาจะลดลงอีกหรือไม่ หรือจะมีแคมเปญใหม่ที่ดีกว่าเดิมออกมาหรือไม่ พฤติกรรมนี้ยิ่งกดดันให้ผู้ผลิตต้องลดราคาลงไปอีก

  3. นโยบายรัฐและการผลิตในประเทศ: การสนับสนุนจากภาครัฐ รวมถึงแผนการตั้งฐานการผลิตในไทยในระยะต่อไป ทำให้ต้นทุนการผลิตในประเทศอาจถูกลง ซึ่งเปิดโอกาสให้มีการปรับลดราคาอีกในอนาคต

ผลกระทบวงกว้างที่เกินกว่าราคาขาย

          สงครามราคา EV ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การตัดราคารถใหม่ แต่ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งตลาดรถยนต์

  • กระทบต่อผู้ซื้อเดิมและความเชื่อมั่น: ผู้ที่ซื้อรถ EV ไปก่อนหน้าในราคาสูง ย่อมรู้สึกไม่พอใจเมื่อรถรุ่นเดียวกันถูกปรับลดราคาลงมาหลายแสนบาทในเวลาอันสั้น ทำให้ มูลค่ารถลดลงอย่างรวดเร็ว (Depreciation) จนกลายเป็น "ฝันร้ายของการขายต่อ" ส่งผลให้ความเชื่อมั่นในแบรนด์และราคาที่กำหนดไว้แต่แรกหายไป

  • กระทบตลาดรถมือสอง: เมื่อรถ EV ใหม่ลดราคาอย่างหนัก ย่อมส่งผลให้ราคารถยนต์มือสอง ทั้งรถ EV และรถยนต์สันดาปภายใน (ICE) ต้องปรับลดลงตามไปด้วย ทำให้ตลาดรถมือสองซบเซาลงอย่างมาก และทำให้เจ้าของรถมือสองมี "ความมั่งคั่ง" (Wealth) ลดลง

  • กระทบต่อสถาบันการเงิน: การที่มูลค่ารถ EV ตกลงอย่างรวดเร็ว ทำให้สถาบันการเงินต้องเพิ่มความระมัดระวังในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ เพราะความเสี่ยงที่รถจะเป็นหนี้เสีย หรือเมื่อยึดรถแล้วจะได้ราคาต่ำกว่าที่ประเมินไว้จะสูงขึ้น

  • กระทบต่อประกันภัย: ข้อมูลจากตลาดบ่งชี้ว่า บริษัทประกันหลายแห่งเริ่มมีความกังวลเกี่ยวกับต้นทุนการซ่อมรถ EV ที่สูงกว่ารถยนต์ทั่วไป รวมถึงความไม่แน่นอนในการหาอะไหล่และราคารถที่ผันผวน ส่งผลให้ เบี้ยประกันภัยรถ EV มีแนวโน้มสูงขึ้น หรือมีการรับประกันที่เข้มงวดมากขึ้น

ผู้ใช้รถจะอยู่รอดในสมรภูมินี้ได้อย่างไร

          ในฐานะผู้บริโภค เราอาจรู้สึกเหมือนกำลังยืนอยู่กลางสมรภูมิราคาที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน การวางแผนทางการเงินที่รอบคอบจึงสำคัญอย่างยิ่ง

          เมื่อราคาตัวรถลดลงอย่างต่อเนื่อง สิ่งหนึ่งที่ผู้ใช้รถควบคุมได้และเป็นเกราะป้องกันความเสี่ยง คือ การบริหารความเสี่ยงด้านการใช้งาน เพราะไม่ว่าราคารถจะลดลงแค่ไหน แต่ความเสี่ยงจากอุบัติเหตุ ความเสียหาย หรือความรับผิดต่อบุคคลภายนอกยังคงอยู่

          ดังนั้น สิ่งสำคัญที่คนใช้รถ ไม่ว่าจะเป็นรถ EV หรือรถยนต์ประเภทอื่น ควรทำคือ การเลือกทำประกันรถยนต์ที่ให้ความคุ้มครองครบถ้วนและคุ้มค่า เพื่อรองรับความเสี่ยงด้านการซ่อมแซมที่มีค่าใช้จ่ายสูง และความเสี่ยงต่อมูลค่ารถที่ลดลงอย่างรวดเร็ว

          หากคุณกำลังมองหาแผนประกันรถยนต์ที่พร้อมจะดูแลคุณในทุกสถานการณ์ของตลาดรถยนต์ที่ผันผวนเช่นนี้ เราขอแนะนำให้คุณปรึกษา Allinsure ซึ่งเป็นผู้ให้บริการที่รวบรวมผลิตภัณฑ์ประกันภัยรถยนต์จากหลากหลายบริษัทชั้นนำมาให้คุณเปรียบเทียบและเลือกในราคาที่เหมาะสม พร้อมคำแนะนำที่ตอบโจทย์ความเสี่ยงเฉพาะตัวของรถ EV และรถของคุณ เพื่อให้คุณสามารถขับขี่ได้อย่างมั่นใจในทุกการเดินทาง

วันศุกร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2568

ขับรถEV ทำไมถึงเมารถ พร้อมเทคนิคง่ายๆขับสบายตลอดทาง

สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการเมารถ EV

ขับรถEV ทำไมถึงเมารถ

                    อาการเมารถ EV (Electric Vehicle) หรือรถยนต์ไฟฟ้า เกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย โดยหลัก ๆ แล้วเกี่ยวข้องกับความรู้สึกของร่างกายที่ตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวที่แตกต่างไปจากรถยนต์สันดาปภายในแบบปกติครับ

1.แรงบิดที่มาทันทีและแรงเหวี่ยงที่รุนแรง (Instant Torque and Strong Deceleration

                   รถ EV มีมอเตอร์ไฟฟ้าที่สามารถส่งกำลังและแรงบิดได้อย่างรวดเร็วและทันทีที่เหยียบคันเร่ง ทำให้รถพุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็วผิดปกติ ซึ่งร่างกายอาจจะยังไม่ทันตั้งตัว

                   ในทางกลับกัน ระบบเบรกแบบชาร์จไฟกลับ (Regenerative Braking) ของรถ EV ก็จะทำให้เกิดการหน่วงความเร็วที่รุนแรงและฉับพลันเมื่อยกเท้าออกจากคันเร่งหรือเหยียบเบรก ทำให้ร่างกายรู้สึกถึงแรงเหวี่ยงไปข้างหน้าอย่างฉับพลัน ซึ่งบางคนอาจไม่ชินกับความรู้สึกนี้

2. ความเงียบของห้องโดยสาร (Silent Cabin)

                   รถ EV มีเสียงรบกวนในห้องโดยสารที่น้อยมากเมื่อเทียบกับรถยนต์สันดาปภายในปกติ ทำให้ผู้โดยสารไม่ได้ยินเสียงเครื่องยนต์หรือเสียงการเคลื่อนที่ของรถ ซึ่งปกติแล้วเสียงเหล่านี้จะช่วยให้สมองรับรู้และประมวลผลการเคลื่อนไหวของรถได้ แต่เมื่อไม่มีเสียง สมองจะอาศัยเพียงข้อมูลจากสายตาและการรับรู้ของร่างกายเท่านั้น ทำให้เกิดความไม่สอดคล้องกันระหว่างสิ่งที่ตาเห็นกับสิ่งที่ร่างกายรู้สึก ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของอาการเมารถรถ EV มีเสียงรบกวนในห้องโดยสารที่น้อยมากเมื่อเทียบกับรถยนต์สันดาปภายในปกติ ทำให้ผู้โดยสารไม่ได้ยินเสียงเครื่องยนต์หรือเสียงการเคลื่อนที่ของรถ ซึ่งปกติแล้วเสียงเหล่านี้จะช่วยให้สมองรับรู้และประมวลผลการเคลื่อนไหวของรถได้ แต่เมื่อไม่มีเสียง สมองจะอาศัยเพียงข้อมูลจากสายตาและการรับรู้ของร่างกายเท่านั้น ทำให้เกิดความไม่สอดคล้องกันระหว่างสิ่งที่ตาเห็นกับสิ่งที่ร่างกายรู้สึก ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของอาการเมารถ

3. การขับขี่แบบ One-Pedal Driving

                   ฟังก์ชันการขับขี่แบบ One-Pedal Driving ที่อนุญาตให้ผู้ขับใช้เพียงคันเร่งเพื่อเร่งและชะลอความเร็ว ทำให้การลดความเร็วเป็นไปอย่างรวดเร็วและฉับพลันเมื่อยกเท้าออกจากคันเร่ง ทำให้ผู้โดยสารรู้สึกถึงการกระชากอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลให้เกิดอาการเมารถได้

วิธีบรรเทาอาการเมารถ EV

  • ปรับการขับขี่ให้สมูทขึ้น: หากคุณเป็นผู้ขับขี่ ควรหลีกเลี่ยงการเร่งหรือเบรกอย่างรุนแรง พยายามขับขี่ให้ต่อเนื่องและนุ่มนวลที่สุด
  • มองไปข้างหน้า: ผู้โดยสารควรโฟกัสสายตาไปที่ทิวทัศน์ด้านนอกรถหรือมองไปข้างหน้าไกลๆ เพื่อให้สายตากับร่างกายรับรู้การเคลื่อนไหวที่สอดคล้องกัน
  • เปิดกระจกหรือปรับอากาศ: การไหลเวียนของอากาศที่ถ่ายเทจะช่วยให้รู้สึกดีขึ้น
  • หลีกเลี่ยงการใช้โทรศัพท์หรืออ่านหนังสือ: การก้มหน้าลงจะทำให้เกิดอาการเมารถได้ง่ายขึ้น

หากยังไม่ดีขึ้นลองหาตัวช่วยที่ลดหรือป้องกันอาการเมารถได้ดังนี้

1. แผ่นแปะแก้เมารถ (Motion Sickness Patch)

แผ่นแปะแก้เมารถ

                   เป็นหนึ่งในสินค้าที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะใช้ง่าย พกพาสะดวก และไม่ต้องรับประทานยา แผ่นแปะเหล่านี้มักจะมีสารสกัดจากสมุนไพร เช่น ขิง มิ้น หรือส่วนประกอบอื่น ๆ ที่ช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้และวิงเวียน แนะนำให้แปะก่อนออกเดินทางประมาณ 20-30 นาที เพื่อให้สารออกฤทธิ์ได้เต็มที่

  • วิธีการใช้: ส่วนใหญ่จะแนะนำให้แปะที่หลังใบหู (บริเวณที่ไม่มีผมหรือแผล) หรือบางยี่ห้ออาจแนะนำให้แปะที่สะดือ

2. ยาแก้เมารถ

ยาแก้เมารถ

                    สำหรับผู้ที่มีอาการเมารถรุนแรง หรือต้องการการป้องกันที่ได้ผลแน่นอน การรับประทานยาแก้เมารถเป็นทางเลือกที่ดี ยาเหล่านี้มีหลายประเภท

  • ยาแก้เมารถแบบไม่ง่วง: เช่น Dimenhydrinate หรือ Meclizine บางยี่ห้อมีส่วนผสมที่ทำให้ง่วงน้อยลงกว่าปกติ
  • ข้อควรระวัง: ควรอ่านฉลากยาและปรึกษาเภสัชกรก่อนใช้เสมอ โดยเฉพาะสำหรับเด็ก ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีโรคประจำตัว

3. อุปกรณ์อื่นๆ

                    นอกจากยาและแผ่นแปะแล้ว ยังมีอุปกรณ์และสินค้าอื่น ๆ ที่น่าสนใจที่อาจช่วยบรรเทาอาการเมารถได้

ยาดมแก้เมารถ
  • สายรัดข้อมือแก้เมารถ (Acupressure Wristband): เป็นสายรัดข้อมือที่ออกแบบมาเพื่อกดจุดเฉพาะบนข้อมือ ซึ่งเชื่อว่าช่วยลดอาการคลื่นไส้ได้โดยไม่ต้องใช้ยา
  • น้ำมันหอมระเหยหรือยาดม: กลิ่นหอมเย็น ๆ จากน้ำมันหอมระเหย เช่น กลิ่นมิ้นต์ หรือน้ำมันยูคาลิปตัส สามารถช่วยให้รู้สึกสดชื่นและบรรเทาอาการคลื่นไส้ได้
  • ลูกอมหรือเจลลี่รสมิ้นต์/ขิง: ขิงเป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์ช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้ได้เป็นอย่างดี การอมลูกอมหรือทานเจลลี่ที่มีส่วนผสมของขิงจะช่วยให้รู้สึกดีขึ้นได้

เพื่อความอุ่นใจที่มากกว่า: อย่าลืมตรวจเช็กประกันอุบัติเหตุรถยนต์

                    นอกเหนือจากการเตรียมตัวเพื่อป้องกันอาการเมารถแล้ว ความปลอดภัย บนท้องถนนก็เป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ใช้รถ EV ไม่ควรมองข้ามครับ แม้ว่าเราจะขับขี่อย่างระมัดระวัง แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันอย่างอุบัติเหตุย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ ยิ่งรถยนต์ไฟฟ้ามีเทคโนโลยีและชิ้นส่วนที่ซับซ้อน เช่น แบตเตอรี่ หรือระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าที่อาจมีราคาซ่อมแซมสูงกว่ารถยนต์สันดาปทั่วไป

                    ดังนั้น เพื่อให้ทุกการเดินทางเต็มไปด้วยความสุขและความอุ่นใจ การทำประกันอุบัติเหตุรถยนต์ จึงเป็นเกราะป้องกันที่จำเป็นอย่างยิ่ง เพราะจะช่วยคุ้มครองและลดภาระค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมได้มหาศาล ทำให้คุณขับ EV ได้อย่างมั่นใจในทุกเส้นทางครับ

About