วันพุธที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2568

Fortuner Leader G Plus! PPV คุ้มสุด: ออปชันเต็ม ปลอดภัยครบ จบที่ 1.439 ล้าน

          Toyota Fortuner Leader G Plus 2WD AT คือรถยนต์อเนกประสงค์ (PPV) รุ่นย่อยใหม่ที่เข้ามาเติมเต็มตลาดอย่างน่าสนใจ ด้วยการนำจุดเด่นด้านเทคโนโลยีและความปลอดภัยจากรุ่นที่สูงกว่ามาไว้ในราคาที่เข้าถึงง่ายขึ้น ทำให้เป็นตัวเลือกที่ "คุ้มค่าที่สุด" สำหรับผู้ที่ต้องการรถครอบครัว 7 ที่นั่งที่เพียบพร้อม

จุดเด่นผลิตภัณฑ์: ออปชันพรีเมียมที่เพิ่มขึ้น (New Smart Luxury)

          รุ่น Leader G Plus ถูกสร้างมาเพื่อยกระดับความหรูหราและความปลอดภัยจากรุ่น Leader G ธรรมดา โดยมีจุดเด่นหลักที่เหนือกว่าในราคาที่เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย (1,439,000 บาท เทียบกับ 1,400,000 บาท)

  • ความปลอดภัยเหนือระดับ
    • ระบบความปลอดภัยก่อนการชน (Pre-collision System - PCS)
    • กล้องมองรอบคัน (Panoramic View Monitor 360°) ช่วยให้การจอดรถและการขับขี่ในที่แคบง่ายและปลอดภัยขึ้นมาก
    • ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตา (Blind Spot Monitor - BSM) และ ระบบช่วยเตือนขณะถอยรถ (Rear Cross Traffic Alert - RCTA)
  • ความสะดวกสบายและดีไซน์
    • ประตูท้ายเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมระบบป้องกันการหนีบ (Protection Jam)
    • ที่ชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย (Wireless Charger)
    • กระจกมองหลังแบบปรับลดแสงอัตโนมัติ และไฟส่องสว่างในห้องโดยสารแบบ LED
    • ล้ออัลลอยสีพิเศษ เฉพาะรุ่น Leader G Plus ขนาด 18 นิ้ว ที่ช่วยเสริมความสปอร์ตพรีเมียม

การออกแบบและสมรรถนะ

          Fortuner Leader G Plus ยังคงไว้ซึ่งดีไซน์ภายนอกที่แข็งแกร่ง บึกบึน ตามสไตล์ PPV แต่ถูกปรับให้ดูทันสมัยขึ้นด้วยชุดแต่ง Leader Series พร้อมไฟหน้าแบบ Bi-Beam LED

  • ขุมพลัง: ใช้เครื่องยนต์ดีเซล 2.4 ลิตร (2GD-FTV) กำลังสูงสุด 150 แรงม้า ที่ 3,400 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ที่ 1,600-2,000 รอบ/นาที ประหยัดน้ำมันด้วยอัตราสิ้นเปลือง 14.3 กม./ลิตร (ตาม ECO Sticker)
  • ภายใน: ห้องโดยสาร 7 ที่นั่งกว้างขวาง มาพร้อมเบาะนั่งคู่หน้าปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง และหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto

ราคาจำหน่ายและการรับประกันคุณภาพ

รุ่นย่อย ราคาจำหน่าย (บาท)
2.4 Leader G Plus 2WD AT (ใหม่) 1,439,000
2.4 Leader G 2WD AT 1,400,000
2.4 Leader V 2WD AT 1,530,000

การรับประกันคุณภาพรถยนต์

  • รับประกันคุณภาพตัวรถ (Warranty): 5 ปี หรือ 150,000 กิโลเมตร
  • ฟรีค่าแรงเช็กระยะ: ถึง 100,000 กิโลเมตร

โปรโมชั่นและสิทธิพิเศษ (โปรดตรวจสอบกับผู้จำหน่าย)

โตโยต้ามักมีข้อเสนอสุดพิเศษสำหรับรุ่น Fortuner Leader เพื่อให้ตัดสินใจเป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้น เช่น

  • อัตราดอกเบี้ยพิเศษ เช่น ดอกเบี้ย 0.89% พร้อมประกันภัยชั้นหนึ่ง TOYOTA Care PHYD (เงื่อนไขขึ้นอยู่กับแคมเปญและรุ่นรถ)
  • โปรแกรมผ่อนต่ำ/ช่วยผ่อน: เช่น ทางเลือกผ่อนเริ่มต้นในอัตราต่ำในช่วงปีแรก
  • ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง TOYOTA Care PHYD มูลค่าสูงสุด 28,200 บาท (ปีแรก)

การวางแผนการเงิน: คาดการณ์เบี้ยประกันภัย

          การทำประกันภัยชั้น 1 สำหรับ Toyota Fortuner Leader G Plus ที่มีราคาสูงถึง 1.439 ล้านบาท เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง เบี้ยประกันภัยจะขึ้นอยู่กับอายุผู้ขับขี่, ประวัติ, ทุนประกัน, และอุปกรณ์เสริมที่ติดตั้ง

คาดการณ์เบี้ยประกันภัยชั้น 1

          เบี้ยประกันภัยชั้น 1 สำหรับรถใหม่ปีแรกของ Fortuner 2.4 CC โดยเฉลี่ยจะเริ่มต้นตั้งแต่ประมาณ 12,000 - 20,000 บาทต่อปี (สำหรับราคาเบี้ยที่ไม่รวมอยู่ในโปรโมชั่น)

บริษัทประกันที่ให้บริการ

          บริษัทประกันภัยชั้นนำที่ให้บริการสำหรับ Fortuner ได้แก่: วิริยะประกันภัย, กรุงเทพประกันภัย, ธนชาตประกันภัย, ทิพยประกันภัย, คุ้มภัยโตเกียวมารีน, แอกซ่าประกันภัย ฯลฯ

          คำแนะนำพิเศษ: ปรึกษาเงื่อนไขประกันและสามารถซื้อประกันรถยนต์กับ Allinsure เพื่อความมั่นใจในการเลือกประกันที่คุ้มครองตรงใจและราคาที่ดีที่สุด คุณควรเปรียบเทียบข้อเสนอจากหลายบริษัท Allinsure สามารถเป็นที่ปรึกษาที่ช่วยคุณเปรียบเทียบเบี้ยประกันภัยชั้น 1 สำหรับ Toyota Fortuner Leader G Plus จากหลากหลายบริษัทชั้นนำ เพื่อให้คุณได้รับความคุ้มครองที่สมบูรณ์แบบในราคาที่ประหยัดที่สุด

          คุณสนใจที่จะให้ Allinsure ช่วยเปรียบเทียบเบี้ยประกันภัยสำหรับรถคันใหม่ของคุณเลยคลิ๊กเลย

วันอังคารที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2568

Suzuki Fronx B-SUV Hybrid สุดคุ้ม! สรุปสเปคเด่น, โปรฯ, ประกัน

Suzuki Fronx B-SUV Hybrid

ALL NEW SUZUKI FRONX: สปอร์ต SUV ไฮบริดตัวเลือกใหม่ในไทย

          ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) ได้ฤกษ์ เริ่มส่งมอบ ALL NEW SUZUKI FRONX รถสปอร์ตครอสโอเวอร์ (B-SUV) ดีไซน์สไตล์ Coupe SUV ให้กับลูกค้ากลุ่มแรกแล้ว ตอกย้ำการกลับมาสร้างความคึกคักในตลาด SUV ด้วยรถนำเข้าจากอินโดนีเซีย ที่มาพร้อมจุดเด่นด้านดีไซน์และเทคโนโลยีความปลอดภัยครบครันในราคาที่เข้าถึงได้

จุดเด่นผลิตภัณฑ์และการออกแบบ

          Suzuki Fronx ชูแนวคิด "THE ICONIC DRIVE" โดดเด่นด้วยดีไซน์ภายนอกที่ผสมผสานความสปอร์ตและความบึกบึน

  • ดีไซน์สไตล์ Coupe SUV: เน้นเส้นสายหลังคาที่ลาดเอียง (Coupe) ผสมผสานกับความสูงและเหลี่ยมสันของ SUV
  • ไฟหน้าและไฟท้าย LED: ไฟหน้าแบบ 2 ชั้น พร้อมไฟ DRL ดีไซน์เฉี่ยว ส่วนไฟท้ายแบบ LED Light Bar เชื่อมต่อเต็มแนว เพิ่มความโดดเด่น
  • ขุมพลังทางเลือก: มีให้เลือกทั้งเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร และรุ่น 1.5 Mild-Hybrid (MHEV) เพื่อสมรรถนะที่เร้าใจและประหยัดน้ำมัน

          จุดที่น่าสนใจที่สุดคือการติดตั้งระบบความปลอดภัยขั้นสูง SUZUKI SAFETY SUPPORT (ADAS) มาให้ในรุ่นท็อป ซึ่งถือเป็นรถซูซูกิรุ่นแรกในไทยที่จัดเต็มระบบช่วยขับขี่ระดับนี้ เช่น

  • Adaptive Cruise Control (ACC) ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน
  • Dual Sensor Brake Support II (DSBSII) ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ
  • Blind Spot Monitor (BSM) ระบบเตือนมุมอับสายตา
  • กล้องมองภาพรอบคัน 360 องศา

ราคาจำหน่าย และรุ่นย่อย

Suzuki Fronx เปิดตัวในไทยทั้งหมด 3 รุ่นย่อย โดยมีราคาอย่างเป็นทางการดังนี้

รุ่นย่อย เครื่องยนต์ เกียร์ ราคาจำหน่าย
Fronx GL 1.5 เบนซิน 4AT 689,000
Fronx GLX Hybrid 1.5 Mild-Hybrid 6AT 749,000
Fronx GLX Plus Hybrid 1.5 Mild-Hybrid 6AT 799,000

การรับประกันคุณภาพรถยนต์ และโปรโมชั่น

ซูซูกิจัดเต็มเงื่อนไขเพื่อสร้างความมั่นใจในการครอบครองรถ

  • การรับประกันคุณภาพตัวรถ: นาน 3 ปี หรือ 100,000 กม.
  • โปรแกรม SUZUKI FRONX Worry Free Maintenance (เพิ่มเติม): สามารถซื้อแพ็กเกจบำรุงรักษาเพิ่มเติม เพื่อขยายการรับประกันและค่าบำรุงรักษา/ค่าแรงได้นานถึง 7 ปี

ข้อเสนอพิเศษช่วงเปิดตัว (ถึง 31 ธ.ค. 2568)

  • ฟรี! ประกันภัยชั้นหนึ่ง ปีแรก
  • ดอกเบี้ยพิเศษ เริ่มต้น 1.99%
  • ฟรี! บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง ระยะเวลา 3 ปี

เช็กเบี้ยประกัน Fronx ก่อนขับขี่จริง

          แม้ว่าโปรโมชั่นช่วงเปิดตัวจะให้ ฟรีประกันภัยชั้น 1 ในปีแรก แต่เจ้าของรถใหม่ทุกคนควรเตรียมพร้อมสำหรับค่าใช้จ่ายในปีถัดไป

คาดการณ์เบี้ยประกันภัยชั้น 1

          เนื่องจาก Suzuki Fronx เป็นรถรุ่นใหม่ การคำนวณเบี้ยประกันจะอิงกับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ราคาตัวรถ, ประวัติผู้ขับขี่, และต้นทุนอะไหล่ โดยทั่วไป

  • สำหรับรถ B-SUV/รถยนต์นั่งระดับราคา 700,000−800,000 บาท: เบี้ยประกันภัยชั้น 1 ในปีที่สองเป็นต้นไป คาดการณ์อยู่ที่ประมาณ 12,000−20,000 บาท ขึ้นอยู่กับบริษัทประกันและโปรไฟล์ของผู้ขับขี่ (เช่น อายุ, ประสบการณ์ขับขี่, และประวัติการเคลม)
  • บริษัทประกันที่ให้บริการ: บริษัทประกันชั้นนำส่วนใหญ่ในไทยจะรับประกันรถยนต์ซูซูกิ

วางแผนความคุ้มครองกับ Allinsure

          เพื่อความอุ่นใจในการขับขี่ Suzuki Fronx ในระยะยาว คุณสามารถเลือกซื้อประกันรถยนต์กับ Allinsure ซึ่งจะช่วยให้คุณ

  1. เปรียบเทียบข้อเสนอ: สามารถเปรียบเทียบเบี้ยประกันและเงื่อนไขความคุ้มครองจากหลายบริษัทชั้นนำได้อย่างสะดวก
  2. ประหยัดค่าใช้จ่าย: ค้นหาประกันที่ให้ความคุ้มครองสูงสุดในราคาที่คุ้มค่าที่สุด
  3. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: รับคำแนะนำเกี่ยวกับเงื่อนไขประกันที่เหมาะสมกับรุ่นรถและพฤติกรรมการขับขี่ของคุณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพิจารณาความคุ้มครองเพิ่มเติมสำหรับระบบ ADAS ที่มีในรุ่น GLX Hybrid และ GLX Plus Hybrid เพื่อให้มั่นใจว่าเทคโนโลยีความปลอดภัยเหล่านี้ได้รับการคุ้มครองอย่างเต็มที่

          เคล็ดลับ: อย่ารอจนกว่าประกันปีแรกจะหมดอายุ ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญจาก Allinsure ล่วงหน้า 2−3 เดือน เพื่อวางแผนและเลือกซื้อกรมธรรม์ที่ตรงใจและคุ้มค่าที่สุดสำหรับ ALL NEW SUZUKI FRONX คันใหม่ของคุณ!

          คุณสนใจที่จะเปรียบเทียบเบี้ยประกันชั้น 1 สำหรับ Suzuki Fronx ในปีถัดไปเลยคลิ๊กเลย

สุดยอดความคุ้มค่า! BMW i5 EV ประกอบไทย ลงสนามแล้ว ราคาใหม่สุดเร้าใจ

BMW i5 EV ประกอบไทย

          การมาถึงของ BMW i5 รุ่นประกอบในประเทศไทย ถือเป็นก้าวสำคัญของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าพรีเมียมในประเทศ ด้วยการยกระดับการผลิตในประเทศ ทำให้ผู้บริโภคชาวไทยได้สัมผัสซีดานไฟฟ้าหรูที่มาพร้อมราคาที่เข้าถึงได้มากขึ้น โดยยังคงไว้ซึ่งสมรรถนะและความล้ำสมัยตามมาตรฐาน BMW

จุดเด่นด้านผลิตภัณฑ์และการออกแบบ

          BMW i5 คือรถซีดานไฟฟ้า 100% ในตระกูล BMW Series 5 เจเนอเรชันที่ 8 ที่ผสานความหรูหราแบบผู้บริหารเข้ากับเทคโนโลยี EV ล่าสุด

  • สมรรถนะทรงพลัง: รุ่นเรือธงอย่าง i5 M60 xDrive มาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ มอเตอร์ไฟฟ้าคู่ ให้กำลังสูงสุดถึง 601 แรงม้า อัตราเร่ง 0−100 กม./ชม. ใน 3.8 วินาที ขณะที่รุ่น i5 eDrive40 ให้กำลัง 340 แรงม้า
  • ระยะทางวิ่ง: สามารถวิ่งได้ไกลสูงสุดถึง 582 กม. ต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง (ตามมาตรฐาน WLTP)
  • การออกแบบ: คงเอกลักษณ์ความหรูหราและสปอร์ตของซีรีส์ 5 พร้อมความล้ำสมัยของรถ EV ด้วยกระจังหน้า BMW Kidney Grille ที่มาพร้อมไฟ Iconic Glow มอบความโดดเด่นสะดุดตา

ราคาจำหน่ายและเงื่อนไขการรับประกัน

          การเปลี่ยนจากรุ่นนำเข้า (CBU) เป็นรุ่นประกอบในประเทศ (CKD) ส่งผลให้ราคาจำหน่ายมีความยืดหยุ่นและน่าสนใจยิ่งขึ้น

    • BMW i5 eDrive40 M Sport: ราคาเริ่มต้นประมาณ 4.59-4.99 ล้านบาท
    • BMW i5 M60 xDrive: ราคาเริ่มต้นประมาณ 5.59 ล้านบาท
  • การรับประกันคุณภาพรถยนต์ (Warranty)
    • ตัวรถ: ลูกค้าสามารถเลือกการรับประกันตัวรถได้นานสูงสุด 6 ปี ไม่จำกัดระยะทาง
    • แบตเตอรี่แรงดันสูง: มาพร้อมการรับประกันที่ยาวนานและครอบคลุม
  • โปรโมชั่นและสิทธิพิเศษ (BSI)
  • ลูกค้าจะได้รับแพ็กเกจ BMW Service Inclusive (BSI) ที่ครอบคลุมการบำรุงรักษาตามระยะทางและอะไหล่แท้สูงสุดถึง 6 ปี ทำให้เจ้าของรถไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาในระยะยาว

การคาดการณ์เบี้ยประกันภัยชั้น 1

          เนื่องจาก BMW i5 เป็นรถยนต์ไฟฟ้าราคาสูง (ทุนประกันประมาณ 4 - 5.5 ล้านบาท) และมีต้นทุนอะไหล่ ระบบไฟฟ้า รวมถึงแบตเตอรี่ที่สูงมาก ทำให้เบี้ยประกันภัยชั้น 1 จะอยู่ในระดับพรีเมียม

  • เบี้ยประกันภัยชั้น 1 คาดการณ์: ประมาณ ≈75,000 - 120,000 บาทต่อปี (ขึ้นอยู่กับประวัติดี, อายุผู้ขับขี่ และรูปแบบการซ่อม: ซ่อมห้าง/ซ่อมอู่)
  • บริษัทประกันที่ให้บริการ: บริษัทประกันชั้นนำส่วนใหญ่ที่รับประกันรถยุโรปและรถ EV ทุนประกันสูง ล้วนมีผลิตภัณฑ์สำหรับ BMW i5 เช่น วิริยะประกันภัย, AXA, คุ้มภัยโตเกียวมารีน เป็นต้น

คำแนะนำเรื่องประกันภัยรถยนต์: ต้องละเอียดรอบคอบ

          สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าระดับพรีเมียมอย่าง BMW i5 การเลือกประกันภัยไม่ได้ขึ้นอยู่กับราคาเพียงอย่างเดียว แต่ต้องเน้นที่ ความคุ้มครองที่ครอบคลุม และ คุณภาพบริการ เมื่อเกิดเหตุ

สิ่งที่ต้องเน้นในการตรวจสอบเงื่อนไขประกัน

  1. ความคุ้มครองแบตเตอรี่: ต้องมั่นใจว่าให้ทุนประกันสูงและเงื่อนไขการเคลมครอบคลุมความเสียหายจากอุบัติเหตุ
  2. Wall Charger และสายชาร์จ: มีความคุ้มครองในกรณีเกิดความเสียหายหรือไฟไหม้ขณะชาร์จไฟหรือไม่
  3. เครือข่ายศูนย์ซ่อม: เลือกบริษัทที่ให้สิทธิ์ "ซ่อมห้าง (ศูนย์บริการ BMW)" เพื่อรับรองการใช้อะไหล่แท้และการซ่อมจากช่างผู้เชี่ยวชาญ EV โดยเฉพาะ

          หากคุณต้องการเปรียบเทียบข้อเสนอที่ดีที่สุดและมั่นใจได้ว่าจะได้รับแผนประกันที่ครอบคลุมทุกความเสี่ยงของรถ EV ราคาหลักล้านอย่าง BMW i5

          เราขอแนะนำให้คุณปรึกษาเงื่อนไขประกันและซื้อประกันรถยนต์กับ Allinsure ที่พร้อมให้บริการเปรียบเทียบเบี้ยประกันชั้น 1 จากหลายบริษัทชั้นนำในตลาด เพื่อให้คุณได้ความคุ้มครองสูงสุดในราคาที่คุ้มค่าที่สุดสำหรับซีดานไฟฟ้าสุดหรูคันนี้ของคุณ

วันจันทร์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2568

ZEEKR 9X อัครเอสยูวีปลั๊กอินไฮบริดใหม่ ชาร์จ 9 นาที วิ่งไกล 1,250 กม. ทวงบัลลังก์รถหรูแห่งอนาคต

รถยนต์ไฟฟ้า ZEEKR 9X

          ZEEKR (ซีเคอร์) แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าระดับพรีเมียมในเครือ Geely Holding Group ได้สร้างความฮือฮาในตลาดโลกด้วยการเปิดตัว ZEEKR 9X อัครเอสยูวี (SUV) สุดหรูแบบ Plug-in Hybrid Electric Vehicle (PHEV) ที่มาพร้อมเทคโนโลยีสุดล้ำและสมรรถนะที่เหนือจินตนาการ ด้วยการผสานความแรงระดับซูเปอร์คาร์เข้ากับความหรูหราอลังการ ทำให้ ZEEKR 9X ถูกจับตามองในฐานะคู่แข่งสำคัญของรถ SUV หรูจากยุโรป

ไฮไลท์เด่น: เร็ว แรง และชาร์จไวเหลือเชื่อ

          ZEEKR 9X ไม่ได้เป็นเพียงรถ SUV ขนาดใหญ่ทั่วไป แต่เป็นแฟลกชิปที่รวมเอาเทคโนโลยีที่ดีที่สุดมาไว้ในคันเดียว โดยมีจุดเด่นที่ทำลายขีดจำกัดของรถยนต์ PHEV

  1. ขุมพลังมหาศาล (1,381 แรงม้า)
  2. ZEEKR 9X มาพร้อมระบบอัจฉริยะ SEA Super Hybrid รุ่นแรกของแบรนด์ ที่มอบกำลังสูงสุดถึง 1,030 กิโลวัตต์ (ประมาณ 1,381 แรงม้า) ในรุ่นท็อป ทำให้รถ SUV คันยักษ์ที่มีน้ำหนักตัวกว่า 3 ตัน สามารถทำอัตราเร่ง 0−100 กม./ชม. ได้ในเวลาเพียง 3.1 วินาที ซึ่งเทียบเท่ารถสปอร์ตสมรรถนะสูง

  3. สถาปัตยกรรม 900V และ 6C Ultra-Fast Charging
  4. หัวใจสำคัญคือการใช้แพลตฟอร์ม SEA-S ที่รองรับสถาปัตยกรรมขับเคลื่อนไฟฟ้าแรงดันสูง 900V และเทคโนโลยีชาร์จเร็ว 6C ทำให้สามารถชาร์จแบตเตอรี่จาก 20−80% ได้ในเวลาเพียง 9 นาที เท่านั้น!

  5. วิ่งไกลทะลุพิกัด
  6. วิ่งด้วยไฟฟ้าล้วน (EV Range): ทำได้ไกลถึงประมาณ 380 กม. (มาตรฐาน CLTC) ด้วยแบตเตอรี่ NMC "Xiaoyao" ขนาด 70kWh

    ระยะทางวิ่งรวมสูงสุด: สามารถทำได้ไกลถึง 1,250 กม. (มาตรฐาน CLTC) ทำให้หมดความกังวลเรื่องระยะทางในการเดินทางไกล

ดีไซน์และเทคโนโลยี "New Luxury"

ZEEKR 9X ถูกออกแบบภายใต้ปรัชญา "New Luxury" ที่ผสานความหรูหราสง่างามเข้ากับความล้ำสมัยในสไตล์ SUV ระดับโลก

  • ภายนอกสุดอลังการ
  • โดดเด่นด้วยกระจังหน้าโครเมียมชิ้นเดียวกว้าง 1.2 เมตร และชุดไฟหน้าแบบแยกส่วน "Vast Star Diamond Matrix" ที่ประดับด้วยเหลี่ยมเพชรมากถึง 42,242 เหลี่ยม ดีไซน์ด้านข้างให้ความรู้สึกเหมือนเรือยอชต์สุดหรู

  • ห้องโดยสาร 6−7 ที่นั่งระดับพรีเมียม
  • ภายในเน้นความกว้างขวางและสะดวกสบาย เบาะแถวที่สองบางรุ่นสามารถปรับหมุนได้ พร้อมเบาะนวดและระบบรองรับที่นั่งอัจฉริยะ

  • ระบบเครื่องเสียงทำลายสถิติ
  • ติดตั้งระบบเสียง Naim สุดหรู (แบรนด์ที่เคยเป็นเอกสิทธิ์ของ Bentley) ที่มาพร้อมลำโพงมากถึง 32 ตำแหน่ง มีกำลังขับสูงสุดถึง 3,868 วัตต์ ซึ่ง ZEEKR เคลมว่าเป็นสถิติโลกใหม่ของระบบเสียงในรถยนต์

ราคาจำหน่าย (ในประเทศจีน)

          ZEEKR 9X มีให้เลือกหลายรุ่นย่อย โดยมีราคาเริ่มต้นพรีเซลในประเทศจีนอยู่ที่ประมาณ 465,900–599,900 หยวน หรือคิดเป็นเงินไทยโดยประมาณเริ่มต้นที่ 2.12 – 2.73 ล้านบาท (ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นอยู่กับอัตราแลกเปลี่ยนและภาษี)

          หมายเหตุ: ZEEKR 9X ได้เริ่มจำหน่ายและส่งมอบในประเทศจีนแล้ว แต่ยังไม่มีกำหนดการนำเข้ามาจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทย ณ ขณะนี้

ช่วงราคาคาดการณ์เบี้ยประกันชั้น 1

          เมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งรถยนต์ไฟฟ้าและ MPV/SUV ไฟฟ้าหรูในไทย (เช่น Tesla Model 3/Y ที่เบี้ยเฉลี่ย 45,000 - 78,000 บาท หรือ MG Maxus 9 ที่เบี้ย 24,000 - 47,000 บาท) และพิจารณาจากราคาและเทคโนโลยีที่สูงกว่ามากของ ZEEKR 9X (โดยเฉพาะสถาปัตยกรรม 900V) อาจมีราคาอยู่ที่ประมาณ 70,000 - 90,000 บาทต่อปี

          ผู้ซื้อ ZEEKR 9X ควรเตรียมงบประมาณสำหรับค่าเบี้ยประกันชั้น 1 ไว้ในระดับ 70,000 บาทขึ้นไปต่อปี และต้องพิจารณาเงื่อนไขสำคัญในกรมธรรม์อย่างละเอียด โดยเฉพาะความคุ้มครองที่เกี่ยวข้องกับ แบตเตอรี่แรงดันสูง และการซ่อมบำรุงใน ศูนย์บริการที่ได้มาตรฐาน ที่รองรับเทคโนโลยี 900V ของรถยนต์รุ่นนี้ครับ

จบทุกคำถาม! เปิดสเปค Kia Carnival HEV ไฮบริด 7 ที่นั่ง แรง-ประหยัด-หรู ครบจบในคันเดียว

เปิดสเปค Kia Carnival HEV

          ตามข้อมูลที่มีการเปิดเผยในงานเปิดตัว The new Kia Carnival HEV 7-seater ซึ่งเป็นรถ MPV รุ่นเรือธงโฉมใหม่ (Big Minorchange) พร้อมขุมพลังไฮบริด สามารถสรุปรายละเอียดสำคัญได้ดังนี้ครับ

1. อย่างรุ่นและราคาจำหน่ายเป็นทางการในประเทศไทย (เปิดตัว 3 ต.ค. 2568)

  • รุ่น Premium: ราคา 2,499,000 บาท
  • รุ่น Luxury: ราคา 2,699,000 บาท
  • (นอกจากนี้ รุ่นดีเซลยังคงมีจำหน่ายตามปกติ)

2. ขุมพลังขับเคลื่อน (HEV - Hybrid Electric Vehicle)

  • เครื่องยนต์: เบนซิน 4 สูบ Smartstream 1.6 ลิตร เทอร์โบ (T-GDi)
  • พละกำลังรวมสูงสุด: 245 แรงม้า
  • แรงบิดรวมสูงสุด: 367 นิวตันเมตร
  • ระบบส่งกำลัง: เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ (ขับเคลื่อนล้อหน้า FWD)
  • อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย: เคลมไว้ที่ 15.9 กม./ลิตร (ตาม ECO Sticker)
  • เทคโนโลยีเสริม: มาพร้อมโหมดการขับขี่ Eco / Smart / Sport และ Paddle Shift พร้อมฟังก์ชัน Regenerative Braking (กู้คืนพลังงาน)

3. ดีไซน์และฟีเจอร์เด่น

  • ภายนอก:
    • ปรับโฉมใหม่ให้ดูโฉบเฉี่ยวสไตล์ SUV ผสาน MPV
    • กระจังหน้าแบบ 'Tiger Nose' และชุดไฟหน้า-ไฟท้ายแบบ Star Map Lighting ดีไซน์ดวงไฟทรงลูกบาศก์
    • ล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่ ขนาด 19 นิ้ว
  • ภายใน:
    • ห้องโดยสาร 7 ที่นั่ง (แถว 2 เป็นแบบ Captain Seat หรือ Relaxation Seat ตามรุ่น)
    • ติดตั้ง จอโค้งแบบพาโนรามิก (Panoramic Curved Display) ที่รวมจอมาตรวัด Digital Supervision Cluster ขนาด 12.3 นิ้ว และหน้าจอสัมผัส Infotainment ขนาด 12.3 นิ้ว
    • มีระบบแสดงข้อมูลการขับขี่บนกระจกหน้า Head-up Display (HUD) ขนาด 11 นิ้ว (เฉพาะรุ่น Luxury)
    • เพิ่มความสะดวกสบายด้วยประตูสไลด์ไฟฟ้า (Smart Power Sliding Door) และฝากระโปรงท้ายไฟฟ้าอัจฉริยะ

4. การรับประกันและโปรโมชั่นพิเศษ (ช่วงเปิดตัว)

  • การรับประกันคุณภาพตัวรถ: 7 ปี หรือ 150,000 กม.
  • การรับประกันแบตเตอรี่ไฮบริด (High-Voltage Battery): 8 ปี
  • บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน: ฟรี 24 ชั่วโมง นาน 7 ปี ไม่จำกัดระยะทาง
  • ฟรีค่าบำรุงรักษาตามระยะ: 3 ปี หรือ 30,000 กม. (ลูกค้า Kia Loyalty ได้เพิ่มเป็น 5 ปี หรือ 50,000 กม.)
  • ข้อเสนอพิเศษช่วงเปิดตัว: อัตราดอกเบี้ยพิเศษเริ่มต้น 1.77\% (เฉพาะสถาบันการเงินที่ร่วมรายการ)

5. การประกันภัยรถยนต์ (ช่วงเปิดตัว)

          ฟรีประกันชั้น 1 และ พรบ.ตามเงื่อนไขของบริษัทฯ โดยมีการระบุว่า จำกัดเฉพาะ บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน)

          ไม่ว่าคุณจะตัดสินใจรับสิทธิพิเศษ ฟรีประกันภัยชั้น 1 ในปีแรก หรือกำลังมองหาแผนประกันสำหรับปีต่ออายุ สิ่งสำคัญที่สุดคือการเลือกบริษัทที่เข้าใจความซับซ้อนของรถยนต์ไฮบริดระดับพรีเมียมอย่าง Kia Carnival HEV เพื่อให้คุณมั่นใจได้ว่าเมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน การซ่อมแซมจะได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด

          หากคุณต้องการความอุ่นใจสูงสุดและทางเลือกที่หลากหลาย Allinsure คือพันธมิตรประกันภัยที่คุณวางใจได้ ด้วยความเชี่ยวชาญในการจัดหาแผนประกันที่เหมาะสมกับรถยนต์มูลค่าสูงและเทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่างรถไฮบริด คุณจะสามารถเปรียบเทียบข้อเสนอที่ดีที่สุด ทั้งด้านราคาและความคุ้มครอง จากหลากหลายบริษัทชั้นนำ เพื่อให้ได้ประกันชั้น 1 ที่ครอบคลุมทั้งตัวรถ ทรัพย์สิน และการซ่อมแซมมาตรฐานศูนย์หรืออู่คุณภาพ ในเบี้ยประกันที่คุ้มค่าที่สุด เลือก Allinsure เพื่อปกป้องการลงทุนของคุณได้อย่างมั่นใจและชาญฉลาดที่สุด

วันอาทิตย์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2568

ชาร์จไปถึงไหนแล้ว? ถอดรหัสโครงสร้างพื้นฐาน EV ไทย: ตัวเลขพุ่ง แต่ยังไม่พอใช้จริง

การชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในประเทศไทย

          โครงสร้างพื้นฐานการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในประเทศไทยกำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด จากการสนับสนุนของภาครัฐและผู้ประกอบการเอกชนหลายราย อย่างไรก็ตาม ยังมีความท้าทายในด้านความครอบคลุมและคุณภาพการให้บริการ

          นี่คือสรุปภาพรวมของโครงสร้างพื้นฐานการชาร์จ EV ในประเทศไทย ณ ช่วงเวลาปัจจุบัน:

1. ภาพรวมการเติบโตและจำนวนหัวชาร์จ

  • จำนวนสถานีชาร์จเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว: ประเทศไทยมีการขยายจำนวนสถานีชาร์จสาธารณะอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เพื่อรองรับจำนวนรถ EV ที่เพิ่มขึ้นตามมาตรการส่งเสริมของรัฐบาล

  • เป้าหมายของภาครัฐ: รัฐบาลมีเป้าหมายภายใต้นโยบาย 30@30 ที่จะผลักดันให้มี หัวชาร์จสาธารณะรวมกว่า 12,000 หัวจ่าย ภายในปี 2573 (ค.ศ. 2030) เพื่อให้เพียงพอต่อจำนวนรถ EV ที่คาดการณ์ว่าจะสูงถึง 2 ล้านคัน

2. ประเภทของหัวชาร์จและมาตรฐาน

  • ประเภทหัวชาร์จ

    • AC Charger: ชาร์จแบบกระแสสลับ (ช้า) ติดตั้งตามบ้าน อาคารสำนักงาน ห้างสรรพสินค้า เหมาะสำหรับจอดค้างคืนหรือจอดนานหลายชั่วโมง

    • DC Charger: ชาร์จแบบกระแสตรง (เร็ว) ติดตั้งตามปั๊มน้ำมัน สถานีบริการสาธารณะ เหมาะสำหรับการเดินทางไกลและต้องการความรวดเร็ว

3. ผู้ให้บริการหลักในตลาด

ตลาดสถานีชาร์จในไทยมีการแข่งขันสูง โดยมีผู้เล่นหลักจากทั้งภาครัฐและเอกชน ดังนี้:

  • กลุ่มพลังงาน (ปตท. และบริษัทในเครือ): เช่น EV Station PluZ (ขยายจุดชาร์จในปั๊ม PTT Station และพื้นที่เชิงพาณิชย์)

  • กลุ่มการไฟฟ้า: เช่น MEA EV (การไฟฟ้านครหลวง) และ PEA VOLTA (การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค) เน้นการขยายในเขตพื้นที่รับผิดชอบและเส้นทางหลักทั่วประเทศ

  • กลุ่มเอกชนและผู้ผลิตรถยนต์: เช่น EA Anywhere (พลังงานบริสุทธิ์), SHARGE, Elex by EGAT (กฟผ.), MG Super Charge, และผู้ประกอบการรายย่อยอื่นๆ ซึ่งเน้นทำเลในห้างสรรพสินค้าและอาคารสำนักงาน

4. อัตราค่าบริการ

  • ราคาแปรผันตามช่วงเวลา: ผู้ให้บริการส่วนใหญ่นำระบบ On-Peak (ช่วงเวลาที่มีการใช้ไฟฟ้าสูงสุด เช่น กลางวัน/เวลาทำงาน) และ Off-Peak (ช่วงที่มีการใช้ไฟฟ้าน้อย เช่น กลางคืน/วันหยุด) มาใช้ โดยราคาช่วง Off-Peak จะถูกกว่า เพื่อจูงใจให้ผู้ใช้ชาร์จในช่วงนอกเวลาเร่งด่วน

  • ราคาเฉลี่ย DC Fast Charge: อยู่ในช่วงประมาณ 7 - 8.5 บาท/หน่วย (ในช่วง On-Peak) และลดลงในช่วง Off-Peak

5. ความท้าทายหลักของโครงสร้างพื้นฐาน

  • ความครอบคลุมในต่างจังหวัด: แม้สถานีชาร์จจะเพิ่มขึ้น แต่ความหนาแน่นและระยะห่างระหว่างสถานีชาร์จเร็วในเส้นทางรอง หรือในพื้นที่ต่างจังหวัดยังคงเป็นปัญหาสำหรับผู้เดินทางไกล

  • ความพร้อมใช้งาน (Uptime): ปัญหาความไม่เสถียรของเครื่องชาร์จ หรือการจองคิวที่ยากลำบากในช่วงวันหยุดยาว ยังคงเป็นสาเหตุหลักของ "ความกังวลเรื่องการชาร์จ" (Charging Anxiety)

  • ความหลากหลายของแอปพลิเคชัน: ผู้ใช้ต้องติดตั้งและลงทะเบียนใช้งานหลายแอปพลิเคชัน (ตามผู้ให้บริการ) ทำให้เกิดความไม่สะดวกในการใช้งาน

  • คุณภาพไฟฟ้าและระบบ Grid: การเตรียมความพร้อมของระบบสายส่งและการบริหารจัดการพลังงานในพื้นที่ที่มีการชาร์จหนาแน่น (Smart Grid) เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องเร่งพัฒนาเพื่อรองรับกำลังการชาร์จที่สูงขึ้นในอนาคต

สถานการณ์สต็อกรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ค้างสูงในตลาดสหรัฐฯ

สต็อกรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ค้างสูงในตลาดสหรัฐฯ

          ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในสหรัฐอเมริกากำลังเผชิญกับภาวะ "สต็อกล้น" (Inventory Backlog) ซึ่งเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ว่าอุปทานในปัจจุบันมีมากกว่าความต้องการของผู้บริโภคอย่างชัดเจน

1. ภาพรวมสถานการณ์สต็อก

  • ปริมาณสต็อกสูง: มีรายงานว่ามีรถยนต์ไฟฟ้าใหม่ที่ยังขายไม่ได้ค้างอยู่ในโชว์รูมและลานจอดของผู้จำหน่ายทั่วสหรัฐฯ มากกว่า 130,000 คัน (ตัวเลข ณ วันที่ล่าสุด)

  • วันในการขายที่เพิ่มขึ้น: ในอดีต รถ EV ใช้เวลาขายเฉลี่ยประมาณ 36 วัน แต่ตัวเลขนี้ได้เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 70-90 วัน ซึ่งสูงกว่าระยะเวลาเฉลี่ยของรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปทั่วไป (ICE) อย่างมาก

2. สาเหตุหลักของปัญหาสต็อกล้น

  • ราคาสูงและความสามารถในการซื้อ (Affordability): รถ EV ส่วนใหญ่ยังมีราคาสูงกว่ารถยนต์ทั่วไปอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้ผู้บริโภคจำนวนมากยังไม่พร้อมที่จะเปลี่ยนผ่าน

  • ความกังวลเรื่องโครงสร้างพื้นฐานการชาร์จ: "ความกังวลเรื่องระยะทาง" (Range Anxiety) และการขาดแคลนสถานีชาร์จที่สะดวกสบายและครอบคลุมทั่วประเทศ (โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท) ยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญ

  • การเพิ่มการผลิตอย่างรวดเร็ว: ผู้ผลิตรถยนต์ (OEMs) ได้เร่งกำลังการผลิต EV อย่างมาก เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายการเปลี่ยนผ่านเป็นรถยนต์ไฟฟ้าของรัฐบาลสหรัฐฯ ทำให้การผลิตนำหน้าความต้องการของตลาด

  • ความนิยมในกลุ่มไฮบริด (Hybrid) ที่เพิ่มขึ้น: ผู้บริโภคจำนวนมากหันไปเลือกรถยนต์ไฮบริด (HEV) หรือปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) เป็นทางเลือกแรก เนื่องจากมีความคุ้มค่ากว่าและสามารถบรรเทาความกังวลเรื่องการชาร์จได้

  • ความไม่แน่นอนของนโยบายรัฐบาล: ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการคงอยู่หรือการเปลี่ยนแปลงมาตรการจูงใจทางภาษี (EV Tax Credit) และกฎระเบียบอื่น ๆ ภายใต้การบริหารประเทศชุดใหม่ ทำให้ผู้บริโภคบางส่วนชะลอการตัดสินใจซื้อ

3. ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม

  • การลดราคาและส่วนลด: ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ เช่น Tesla, Ford, และ GM ถูกบังคับให้ใช้กลยุทธ์ลดราคาและเสนอส่วนลดที่สูงขึ้นอย่างมาก เพื่อเคลียร์สต็อกและกระตุ้นยอดขาย ส่งผลกระทบต่ออัตรากำไรของบริษัท

  • การชะลอแผนการผลิต: ผู้ผลิตบางราย เช่น Ford และ General Motors ได้ประกาศลดเป้าหมายการผลิต EV หรือชะลอการเปิดตัว EV รุ่นใหม่บางรุ่นออกไปก่อน เพื่อปรับให้สอดคล้องกับอุปสงค์ที่แท้จริงในตลาด

  • ผลักดันสู่ไฮบริด: หลายบริษัทได้หันมามุ่งเน้นการผลิตและทำการตลาดรถยนต์ไฮบริดและปลั๊กอินไฮบริดมากขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการตัวเลือกที่ "เป็นมิตรกับการใช้ไฟฟ้า" ในราคาที่ย่อมเยาลง

          ตลาด EV สหรัฐฯ กำลังอยู่ในช่วง "เปลี่ยนผ่าน" ที่ท้าทาย โดยอุปทานกำลังเร่งแซงอุปสงค์ ส่งผลให้ผู้ผลิตต้องทบทวนกลยุทธ์ด้านราคาและแผนการผลิตอย่างหนัก เพื่อปรับตัวเข้าสู่ความเป็นจริงของตลาดที่กำลังชะลอตัวลงในระยะสั้น

About