แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ตลาตรถยนต์สหรัฐ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ตลาตรถยนต์สหรัฐ แสดงบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2568

วิกฤตอลูมิเนียม! Ford, Stellantis หยุดผลิต F-150/Jeep ต้นทุนพุ่ง ลูกค้ารอรถนาน

วิกฤตอลูมิเนียม

ข่าวใหญ่! Ford และ Stellantis เผชิญวิกฤตหยุดสายการผลิต: วงการรถยนต์สหรัฐฯ สะเทือนจากปัญหาอะลูมิเนียมขาดตลาด

          ผู้บริโภคที่กำลังรอคอยรถยนต์รุ่นใหม่จากค่ายยักษ์ใหญ่ของอเมริกาอาจต้องรอนานขึ้น เมื่อ Ford Motor และ Stellantis (เจ้าของแบรนด์ Jeep และ Ram) ต้องประกาศหยุดการผลิตรถยนต์ในโรงงานหลายแห่งทั่วสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง

          วิกฤตการณ์ครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นผลพวงจากความเปราะบางของห่วงโซ่อุปทานที่ถูกกระหน่ำซ้ำเติมด้วยเหตุการณ์ไม่คาดฝัน

ต้นตอวิกฤต: ไฟไหม้ซัพพลายเออร์อะลูมิเนียมรายใหญ่

          ปัญหาหลักที่ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์ต้องหยุดสายพานการผลิตคือ การขาดแคลนชิ้นส่วนอะลูมิเนียมที่สำคัญ สืบเนื่องจากเหตุการณ์ไฟไหม้รุนแรงที่ โรงงาน Novelis ในรัฐนิวยอร์ก (Reuters: รายงานเหตุเพลิงไหม้เมื่อเดือนกันยายน 2568) ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้จัดหาแผ่นอะลูมิเนียมรายใหญ่ที่สุดของอุตสาหกรรมยานยนต์ในสหรัฐฯ

          การคาดการณ์ล่าสุดระบุว่า โรงงานแห่งนี้จะไม่สามารถกลับมาดำเนินการได้เต็มกำลังจนกว่าจะถึงไตรมาสแรกของปี 2569 ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อแผนการผลิตของ Big Three ในอเมริกาอย่างหนัก

ผลกระทบต่อรุ่นรถทำเงิน

การหยุดชะงักนี้ส่งผลกระทบต่อรถยนต์รุ่นที่ทำกำไรหลักของแต่ละค่าย:

  • Ford: ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสายการผลิตรถกระบะ Ford F-150 ซึ่งเป็นรถยนต์ขายดีที่สุดในสหรัฐฯ รวมถึงรถ SUV ขนาดใหญ่อย่าง Ford Expedition และ Lincoln Navigator สำนักข่าวอินโฟเควสท์รายงานผล วิเคราะห์จาก Evercore ISI ประเมินว่า ความเสียหายจากการผลิตที่หายไปนี้ อาจทำให้ Ford ต้องสูญเสียรายได้สูงถึง 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
  • Stellantis: โรงงานผลิตรถ SUV พรีเมียมอย่าง Jeep Wagoneer และรุ่นอื่นๆ ต้องหยุดดำเนินการ การขาดแคลนชิ้นส่วนหลักคือ ฝากระโปรงและประตูที่ทำจากอะลูมิเนียม ซึ่งทำให้ต้องขยายเวลาปิดโรงงานไปอีกหลายสัปดาห์

ต้นทุนพุ่ง ผู้บริโภคแบกรับ

          นอกจากปัญหาการส่งมอบที่ล่าช้าแล้ว วิกฤตอะลูมิเนียมยังส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตโดยตรง โดยมีรายงานว่า ราคาอะลูมิเนียมและโลหะอื่นๆ ในตลาดสหรัฐฯ ได้พุ่งสูงขึ้น 10-25%

          สถานการณ์นี้ไม่เพียงแต่กดดันผลกำไรของผู้ผลิตรถยนต์เท่านั้น แต่ยังเป็นปัจจัยผลักดันให้ ราคารถยนต์ใหม่ในตลาดสหรัฐฯ มีแนวโน้มสูงขึ้นไปอีก ซ้ำเติมภาระผู้บริโภคที่เผชิญกับราคารถยนต์ที่แพงเป็นประวัติการณ์อยู่แล้ว

          การหยุดชะงักของโรงงานในครั้งนี้เป็นสัญญาณเตือนครั้งสำคัญที่สะท้อนให้เห็นว่า ห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมยานยนต์ยังคงมีความเปราะบางสูง แม้แต่ในขั้นตอนการผลิตวัตถุดิบหลักอย่างอะลูมิเนียมก็ตาม

About