แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ประกันสุขภาพ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ประกันสุขภาพ แสดงบทความทั้งหมด

วันพฤหัสบดีที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2568

🔥 Copayment เงื่อนไขใหม่ ที่ทำให้เบี้ยประกันสุขภาพถูกลง (ถ้าเคลมเป็น!)

Copayment

          ในโลกของประกันสุขภาพ คำว่า "Copayment" (การร่วมจ่าย) ได้กลายเป็นประเด็นสำคัญที่ผู้บริโภคชาวไทยควรทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ได้เข้ามาวางหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนขึ้น ซึ่งมีผลบังคับใช้กับกรมธรรม์ประกันสุขภาพฉบับใหม่ๆ บทความนี้จะอธิบายว่า Copayment คืออะไร มีผลกระทบอย่างไร และเหตุผลเบื้องหลังการใช้เงื่อนไขนี้

🏥 "Copayment" (การร่วมจ่าย) คืออะไร? เจาะลึกเงื่อนไขใหม่ของประกันสุขภาพ ที่คนไทยต้องรู้!

Copayment คืออะไร?

          Copayment (โคเพย์เมนต์) หรือ การร่วมจ่าย คือเงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันสุขภาพที่กำหนดให้ผู้เอาประกันภัยมีส่วน ร่วมรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลบางส่วน ร่วมกับบริษัทประกันภัย

          ในทางปฏิบัติ หมายความว่า เมื่อคุณเข้ารับการรักษาและมีการเคลมค่าใช้จ่าย ผู้เอาประกันไม่ได้โอนความเสี่ยงทางการเงินทั้งหมดไปให้บริษัทประกัน แต่ต้องจ่ายเงินส่วนหนึ่งตามอัตราหรือจำนวนเงินที่ระบุไว้ในสัญญากรมธรรม์

Copayment แตกต่างจาก "Deductible" อย่างไร?

          ผู้คนมักสับสนระหว่าง Copayment กับ Deductible (ค่าความรับผิดส่วนแรก) ซึ่งมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน

คุณสมบัติ Copayment (การร่วมจ่าย) Deductible (ค่าความรับผิดส่วนแรก)
ลักษณะการจ่าย จ่ายเป็น % ของค่ารักษา หรือ จำนวนเงินคงที่ จ่ายเป็น จำนวนเงินคงที่ ต่อรอบปีกรมธรรม์
เวลาที่จ่าย จ่าย ทุกครั้ง ที่มีการเคลม (ในบางกรณี) หรือจ่ายในปีที่มีเงื่อนไข จ่าย ครั้งแรก ที่มีการเคลม (จนกว่าจะครบวงเงินที่กำหนด)
วัตถุประสงค์ ควบคุมพฤติกรรมการเคลมบ่อยเกินไป/ลดภาระเบี้ยประกัน ลดภาระเบี้ยประกัน ทำให้เบี้ยถูกลง/ควบคุมการเคลม

เหตุผลเบื้องหลัง: ทำไม Copayment ถึงมีความจำเป็น?

          คปภ. ชี้แจงว่า การนำเงื่อนไข Copayment มาใช้ (โดยเฉพาะแบบที่ใช้กับการต่ออายุ) มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อ รักษาเสถียรภาพของระบบประกันสุขภาพโดยรวม ไม่ใช่เพื่อเอื้อประโยชน์แก่บริษัทประกัน

  1. ชะลอการเพิ่มขึ้นของเบี้ยประกัน: เนื่องจากต้นทุนการรักษาพยาบาลและอัตราเงินเฟ้อทางการแพทย์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การให้ผู้เอาประกันร่วมจ่ายบางส่วนจะช่วยควบคุมการเคลมที่ไม่จำเป็น และทำให้บริษัทประกันไม่ต้องปรับเพิ่มเบี้ยประกันสูงเกินไป
  2. ลดการใช้สิทธิ์เกินความจำเป็น: เพื่อลดพฤติกรรมการเข้าโรงพยาบาลเป็นผู้ป่วยใน (IPD) ด้วยอาการป่วยเล็กน้อยที่สามารถรักษาแบบผู้ป่วยนอก (OPD) ได้ หรือการเคลมบ่อยครั้งด้วยอาการที่ไม่ซับซ้อน
  3. ส่งเสริมความยั่งยืนของระบบ: เมื่อต้นทุนค่าสินไหมทดแทนถูกควบคุมได้ บริษัทประกันก็จะสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างมั่นคง และให้บริการคุ้มครองสุขภาพแก่ประชาชนได้ในระยะยาว

ประเภทของ Copayment ตามแนวทาง คปภ. ล่าสุด

          ตามแนวทางของ คปภ. สามารถแบ่งรูปแบบการใช้ Copayment ออกเป็น 2 ลักษณะหลัก

  1. Copayment แบบสมัครใจ (ตั้งแต่เริ่มต้นทำประกัน)
    • หลักการ: ผู้เอาประกันสมัครใจเลือกซื้อกรมธรรม์ที่มีเงื่อนไขร่วมจ่ายตั้งแต่แรก โดยอาจร่วมจ่ายเป็นเปอร์เซ็นต์ (เช่น 10% หรือ 20%) หรือเป็นจำนวนเงิน (เช่น 10,000 บาทแรก)
    • ข้อดี: ผู้เอาประกันจะได้รับ ส่วนลดเบี้ยประกันภัยที่ถูกกว่า กรมธรรม์แบบเหมาจ่ายเต็มจำนวนทันที
  2. Copayment แบบมีเงื่อนไข (ใช้ในการต่ออายุกรมธรรม์)
  3. รูปแบบนี้คือการที่ผู้เอาประกันภัย ต้องเริ่มร่วมจ่ายในปีถัดไป หากในปีปัจจุบันมีพฤติกรรมการเคลมเข้าข่ายที่กำหนด โดยมีเงื่อนไขหลักที่สำคัญดังนี้

    ลักษณะการเคลมที่เข้าข่าย (ต้องเข้าครบทุกข้อ) ผลที่ตามมา (ร่วมจ่ายในปีกรมธรรม์ถัดไป)
    เคลมผู้ป่วยใน (IPD) ด้วยโรคเล็กน้อย ตั้งแต่ 3 ครั้งขึ้นไป และมีอัตราการเคลมรวม 200% ขึ้นไปของเบี้ยประกันสุขภาพ ร่วมจ่ายค่ารักษา ไม่เกิน 30% ในปีถัดไป
    เคลมผู้ป่วยใน (IPD) ด้วยโรคทั่วไป (ไม่รวมโรคร้ายแรงและการผ่าตัดใหญ่) ตั้งแต่ 3 ครั้งขึ้นไป และมีอัตราการเคลมรวม 400% ขึ้นไปของเบี้ยประกันสุขภาพ ร่วมจ่ายค่ารักษา ไม่เกิน 30% ในปีถัดไป
    หากเข้าทั้งสองกรณี ร่วมจ่ายค่ารักษา สูงสุดไม่เกิน 50% ในปีถัดไป

สรุปผลกระทบต่อผู้บริโภค

  1. ผู้ที่ถือกรมธรรม์เดิม: กรมธรรม์ที่ซื้อและอนุมัติก่อนที่จะมีการบังคับใช้หลักเกณฑ์ใหม่ จะ ไม่มีผลกระทบทันที แต่เงื่อนไข Copayment อาจถูกนำมาใช้ในการต่ออายุสัญญา โดยบริษัทประกันจะต้องระบุเงื่อนไขและแจ้งให้ทราบอย่างชัดเจน
  2. ผู้ที่จะซื้อกรมธรรม์ใหม่: ควรทำความเข้าใจอย่างละเอียดถึงเงื่อนไข Copayment ทั้งแบบสมัครใจ (เพื่อรับเบี้ยถูกลง) และแบบมีเงื่อนไข (เพื่อหลีกเลี่ยงการร่วมจ่ายในภายหลัง)
  3. ผู้ที่มีประวัติเคลมปกติ: ผู้ที่มีพฤติกรรมการเคลมอย่างสมเหตุสมผล และไม่เคลมบ่อยจนเกินเกณฑ์ที่กำหนด จะ ไม่ได้รับผลกระทบ จากเงื่อนไขการร่วมจ่ายในการต่ออายุนี้ และยังคงได้รับความคุ้มครองเต็มจำนวนตามกรมธรรม์

          ข้อแนะนำสำคัญ: การร่วมจ่ายเป็นเครื่องมือในการสร้างวินัยทางการเงินและลดภาระเบี้ยประกันในระยะยาว ผู้บริโภคจึงควรพิจารณาเลือกแผนประกันที่เหมาะสมกับความสามารถในการรับความเสี่ยงและพฤติกรรมการใช้ชีวิตของตนเองมากที่สุด

วันอังคารที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2568

อยากเป็น"ไรเดอร์"ต้องแบกความเสี่ยงอะไรบ้าง

ความเสี่ยงของอาชีพไรเดอร์: ความท้าทายบนท้องถนนที่ต้องรับมือ

ความเสี่ยงอาชีพไรเดอร์

          ในยุคที่การสั่งอาหารและสินค้าออนไลน์กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน อาชีพไรเดอร์ หรือผู้ส่งของจึงเติบโตอย่างรวดเร็วและกลายเป็นอาชีพยอดนิยมสำหรับหลาย ๆ คน ด้วยความยืดหยุ่นในเรื่องเวลาและรายได้ที่ค่อนข้างดี อย่างไรก็ตาม เบื้องหลังความสะดวกสบายนี้ อาชีพไรเดอร์ก็มีความเสี่ยงหลายอย่าง ที่ผู้ประกอบอาชีพและผู้ที่กำลังสนใจควรตระหนักถึง

  1. ความเสี่ยงด้านอุบัติเหตุ
  2. นี่คือความเสี่ยงที่สำคัญที่สุดสำหรับไรเดอร์ เนื่องจากต้องใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่บนท้องถนน ซึ่งมีความไม่แน่นอนสูง การขับขี่ท่ามกลางสภาพการจราจรที่หนาแน่น สภาพอากาศที่แปรปรวน หรือการเร่งรีบเพื่อทำเวลา ล้วนเพิ่มโอกาสในการเกิดอุบัติเหตุ ไม่ว่าจะเป็นการเฉี่ยวชนเล็กน้อยไปจนถึงอุบัติเหตุร้ายแรงที่อาจนำไปสู่การบาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิตได้

  3. ความเสี่ยงด้านสุขภาพ
  4. การทำงานเป็นไรเดอร์ส่งผลกระทบต่อสุขภาพทั้งในระยะสั้นและระยะยาว การขับขี่ติดต่อกันเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย โดยเฉพาะหลัง ไหล่ และข้อมือ นอกจากนี้ การเผชิญกับมลพิษทางอากาศ เช่น ควันจากท่อไอเสีย ฝุ่นละออง PM2.5 และเสียงดังจากรถยนต์อย่างต่อเนื่อง ก็อาจเป็นสาเหตุของโรคทางเดินหายใจและปัญหาการได้ยินในอนาคตได้

  5. ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยในทรัพย์สิน
  6. ในบางสถานการณ์ ไรเดอร์อาจต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากการโจรกรรม ทั้งรถจักรยานยนต์ โทรศัพท์มือถือ หรือทรัพย์สินอื่น ๆ ที่ใช้ในการทำงาน ยิ่งไปกว่านั้น การถูกประทุษร้ายทางร่างกายเพื่อชิงทรัพย์ก็เป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะเมื่อต้องเข้าไปในพื้นที่เปลี่ยวหรือทำงานในเวลากลางคืน

  7. ความเสี่ยงด้านรายได้ที่ไม่แน่นอน
  8. แม้ว่ารายได้ของไรเดอร์จะขึ้นอยู่กับจำนวนงานที่ทำ แต่รายได้นั้นก็ไม่ได้มั่นคงเสมอไป บางช่วงเวลาอาจมีงานเยอะและรายได้ดี แต่ในบางช่วงที่งานน้อย เช่น ในช่วงที่ฝนตกหนัก หรือช่วงเทศกาลที่คนเดินทางกลับบ้าน รายได้ก็จะลดลงอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เช่น ค่าน้ำมัน ค่าบำรุงรักษารถ หรือค่าซ่อมแซมหากเกิดอุบัติเหตุ ก็เป็นภาระที่ไรเดอร์ต้องแบกรับเอง

วิธีป้องกันและลดความเสี่ยง

          การตระหนักถึงความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญ แต่การมีมาตรการป้องกันที่เหมาะสมจะช่วยให้ไรเดอร์สามารถทำงานได้อย่างปลอดภัยและมั่นคงขึ้น

  1. การดูแลความปลอดภัยส่วนบุคคล
    • สวมใส่อุปกรณ์ป้องกัน:สวมหมวกกันน็อกที่ได้มาตรฐาน เสื้อแจ็คเก็ต ถุงมือ และรองเท้าที่ช่วยลดการบาดเจ็บหากเกิดอุบัติเหตุ

    • ขับขี่ด้วยความระมัดระวัง: ปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด ไม่ขับรถเร็วเกินกำหนด ไม่ขับขี่ขณะมึนเมา หรือเล่นโทรศัพท์มือถือขณะขับรถ

  2. การสร้างหลักประกันความมั่นคงในชีวิตและทรัพย์สิน
    • ประกันสุขภาพ: หากเกิดเจ็บป่วยหรืออุบัติเหตุที่ไม่ร้ายแรง การมีประกันสุขภาพจะช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ทำให้ไรเดอร์ไม่ต้องควักเงินเก็บมาใช้ในส่วนนี้

    • ประกันชีวิต: ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดจนถึงขั้นเสียชีวิต ประกันชีวิตจะเป็นหลักประกันให้แก่ครอบครัวและคนที่คุณรัก เพื่อให้พวกเขาสามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้

    • พรบ. รถจักรยานยนต์: การทำพรบ. รถจักรยานยนต์ หรือพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ เป็นสิ่งบังคับตามกฎหมาย ซึ่งให้ความคุ้มครองแก่ผู้ประสบภัยจากรถ ไม่ว่าจะเป็นคนขับ ผู้โดยสาร หรือคู่กรณี หากเกิดอุบัติเหตุ พรบ. จะช่วยจ่ายค่ารักษาพยาบาลและค่าเสียหายเบื้องต้นให้

    • การทำประกันรถจักรยานยนต์ภาคสมัครใจ: เพื่อความคุ้มครองที่ครอบคลุมมากขึ้น การทำประกันรถมอเตอร์ไซค์ภาคสมัครใจจะช่วยคุ้มครองในส่วนที่ พรบ. ไม่ครอบคลุม เช่น ค่าซ่อมรถ ค่าเสียหายต่อทรัพย์สินของคู่กรณี หรือในกรณีที่รถหาย ไฟไหม้

  3. การวางแผนทางการเงิน
  4.           การออมเงินในวันที่รายได้ดีจะช่วยสร้างความมั่นคงในยามที่รายได้ลดลง นอกจากนี้ การวางแผนทำบัญชีรายรับรายจ่ายอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้บริหารจัดการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพและสามารถวางแผนสำหรับอนาคตได้

          สรุปแล้ว อาชีพไรเดอร์เป็นอาชีพที่มีความท้าทายและมีความเสี่ยงสูง แต่ด้วยการเตรียมตัวและการวางแผนที่ดี ทั้งในเรื่องความปลอดภัยส่วนบุคคล การทำประกันที่จำเป็น และการบริหารจัดการทางการเงิน ก็จะช่วยให้สามารถทำงานได้อย่างมั่นคงและปลอดภัยบนท้องถนนที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน

วันอาทิตย์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2568

5 กลยุทธ์ป้องกัน RSV ที่ได้รับการยอมรับจากผู้เชี่ยวชาญ

กลยุทธ์ป้องกันRSVที่ได้รับการยอมรับจากผู้เชี่ยวชาญ

วิธีป้องกัน RSV

          ไวรัส RSV (Respiratory Syncytial Virus) เป็นไวรัสทางเดินหายใจที่พบได้บ่อยและติดต่อได้ง่าย ซึ่งมักทำให้เกิดอาการคล้ายไข้หวัดในคนส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตาม สำหรับทารก เด็กเล็ก และผู้สูงอายุ ไวรัสนี้อาจนำไปสู่การเจ็บป่วยที่รุนแรง เช่น หลอดลมฝอยอักเสบและปอดอักเสบ ซึ่งอาจต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ข่าวดีก็คือ มีกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันการแพร่กระจายของไวรัสนี้ นี่คือ 5 วิธีป้องกัน RSV ที่ได้รับการยอมรับและแนะนำโดยแพทย์ระดับโลกและองค์กรด้านสาธารณสุข

5 วิธีป้องกัน RSV

1. รักษาความสะอาดของมือ

          หนึ่งในวิธีที่ง่ายที่สุดแต่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการป้องกันการแพร่กระจายของ RSV คือการล้างมืออย่างสม่ำเสมอ ไวรัสสามารถมีชีวิตอยู่บนพื้นผิวได้หลายชั่วโมง และสามารถแพร่เชื้อได้ง่ายเมื่อมีคนสัมผัสพื้นผิวที่ปนเปื้อนแล้วนำมือมาสัมผัสใบหน้า

คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ : ล้างมือบ่อยๆ และให้ทั่วถึงด้วยสบู่และน้ำอย่างน้อย 20 วินาที หากไม่มีสบู่และน้ำ ให้ใช้เจลทำความสะอาดมือที่มีแอลกอฮอล์อย่างน้อย 60% นี่เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ดูแลก่อนและหลังสัมผัสทารกและเด็กเล็ก รวมถึงทุกคนหลังจากอยู่ในที่สาธารณะ

2. หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย

            RSV แพร่กระจายผ่านละอองฝอยจากระบบทางเดินหายใจของผู้ติดเชื้อจากการไอหรือจาม การหลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่มีอาการป่วยจากระบบทางเดินหายใจจึงเป็นมาตรการป้องกันที่สำคัญ โดยเฉพาะสำหรับกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง

คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ : หากคุณหรือสมาชิกในครอบครัวมีอาการของ RSV เช่น น้ำมูกไหล ไอ หรือมีไข้ พยายามอยู่บ้านและหลีกเลี่ยงการเข้าใกล้ผู้อื่น หากจำเป็นต้องสัมผัสกับกลุ่มเปราะบาง ให้สวมหน้ากากอนามัย ในทำนองเดียวกัน หากคุณทราบว่ามีทารกหรือผู้สูงอายุ ควรหลีกเลี่ยงการไปเยี่ยมหากคุณรู้สึกไม่สบาย

3. ทำความสะอาดและฆ่าเชื้อบนพื้นผิวต่างๆ

            ไวรัส RSV สามารถมีชีวิตอยู่บนพื้นผิวแข็งได้นานหลายชั่วโมง ซึ่งรวมถึงลูกบิดประตู ของเล่น เคาน์เตอร์ และสิ่งของอื่นๆ ที่มีการสัมผัสบ่อย การทำความสะอาดและฆ่าเชื้อเป็นประจำสามารถลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อได้อย่างมาก

คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ : ทำความสะอาดและฆ่าเชื้อบนพื้นผิวที่ถูกสัมผัสบ่อยๆ ในบ้าน ที่ทำงาน และสถานรับเลี้ยงเด็กอย่างสม่ำเสมอ ใช้น้ำยาฆ่าเชื้อในครัวเรือนที่มีประสิทธิภาพในการกำจัดไวรัส การกระทำที่เรียบง่ายนี้สามารถช่วยทำลายวงจรการแพร่เชื้อและปกป้องผู้ที่มีความเสี่ยงมากที่สุด

4. ให้เด็กทารกดื่มนมแม่

            สำหรับทารก การได้รับนมแม่จะช่วยป้องกัน RSV ได้อย่างมีนัยสำคัญ นมแม่มีแอนติบอดและปัจจัยภูมิคุ้มกันที่ช่วยให้ร่างกายของทารกต่อสู้กับไวรัสและการติดเชื้ออื่นๆ

คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ : ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพแนะนำอย่างกว้างขวางให้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงหกเดือนแรกของชีวิต เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของทารก แม้ว่าการได้รับนมแม่จะไม่ได้รับประกันว่าทารกจะไม่ติดเชื้อ RSV แต่ก็สามารถลดความรุนแรงของอาการป่วยและลดโอกาสในการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลได้อย่างมาก

5. พิจารณาการฉีดวัคซีนและรับยาป้องกัน

            RSV สำหรับกลุ่มที่เปราะบางที่สุด เช่น ทารกที่คลอดก่อนกำหนด และเด็กเล็กที่มีภาวะปอดเรื้อรังหรือโรคหัวใจ มีวิธีการป้องกันทางการแพทย์ที่เฉพาะเจาะจง ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ได้มีการพัฒนาและอนุมัติวัคซีนและยาแอนติบอดีสังเคราะห์ชนิดโมโนโคลนอลแบบออกฤทธิ์นานรุ่นใหม่ เพื่อช่วยป้องกันการเจ็บป่วยจาก RSV ที่รุนแรง

คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ : ปัจจุบัน American Academy of Pediatrics (AAP), Centers for Disease Control and Prevention (CDC) และองค์กรด้านสุขภาพระดับโลกอื่นๆ แนะนำให้ใช้ยาแอนติบอดีสังเคราะห์ชนิดโมโนโคลนอลแบบออกฤทธิ์นานกับทารกทุกคนที่มีอายุต่ำกว่า 8 เดือนที่เข้าสู่ฤดูการระบาดของ RSV ครั้งแรก นอกจากนี้ ยังมีการอนุมัติวัคซีนสำหรับหญิงตั้งครรภ์เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันแบบรับให้ทารกแรกเกิด และสำหรับผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ควรปรึกษาแพทย์หรือกุมารแพทย์เพื่อดูว่าคุณหรือลูกของคุณมีสิทธิ์ได้รับมาตรการป้องกันที่มีประสิทธิภาพสูงเหล่านี้หรือไม่

ค่ารักษา RSV ภัยเงียบที่น่ากลัวกว่าโรค

            ลองนึกภาพตามดูนะครับ...หากลูกน้อยของคุณติดเชื้อ RSV และมีอาการหนักจนต้องนอนโรงพยาบาล ค่าใช้จ่ายสำหรับการรักษาพยาบาลที่อาจเกิดขึ้นประมาณ 30,000-150,000 บาท ซึ่งไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เลย ตั้งแต่ค่าห้องพัก ค่าแพทย์ ค่ายา ไปจนถึงค่าเครื่องช่วยหายใจ หากอาการรุนแรง ค่าใช้จ่ายเหล่านี้อาจพุ่งสูงขึ้นจนทำให้เงินเก็บที่สะสมมาต้องหมดไปในพริบตา

            นี่คือความจริงที่หลายคนอาจมองข้าม การเจ็บป่วยไม่ได้ส่งผลกระทบแค่สุขภาพกาย แต่ยังทำลายสุขภาพทางการเงินของคุณด้วย ความเครียดจากค่าใช้จ่ายที่สูงลิ่วสามารถส่งผลกระทบต่อจิตใจ และทำให้การดูแลผู้ป่วยเป็นไปอย่างยากลำบากยิ่งขึ้น

            การป้องกัน RSV เป็นสิ่งสำคัญ แต่การมีประกันสุขภาพก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน เพราะมันจะทำให้คุณมั่นใจได้ว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น คุณก็พร้อมที่จะรับมือได้อย่างเต็มที่ อย่ารอช้า...เริ่มมองหาแผนประกันสุขภาพที่เหมาะกับคุณตั้งแต่วันนี้ เพื่อชีวิตที่ไร้กังวลทั้งเรื่องสุขภาพและเรื่องเงินนะครับ

            อย่าปล่อยให้ความเสี่ยงทางการเงินมาเป็นอุปสรรคต่อชีวิตของคุณ การตัดสินใจซื้อประกันสุขภาพตั้งแต่วันนี้คือการลงทุนที่ชาญฉลาดที่สุดเพื่อปกป้องสุขภาพของตัวคุณเองและคนที่คุณรักในอนาคต ปรึกษารับแผนประกันสุขภาพระดับมืออาชีพ จาก Allinsure ที่เดียวจบครบทุกเรื่องประกัน

📱086-9049326 (คุณนัท)
📱084-2822546 (คุณแก้ว)

About