แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ News แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ News แสดงบทความทั้งหมด

วันศุกร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

💡 Toyota Hilux TRAVO-e ยุคใหม่ของกระบะไฟฟ้าพาณิชย์ ดีเซลต้องหลีกทางจริงหรือ?

วิเคราะห์ตลาด: โตโยต้าเขย่าบัลลังก์! ศึกกระบะเชิงพาณิชย์เดือด หลัง Hilux TRAVO-e EV 100% ลงสนาม

Toyota Hilux TRAVO-e

          การเปิดตัว Toyota Hilux TRAVO-e กระบะไฟฟ้า 100% รุ่นแรกของโลกในประเทศไทย ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ไม่เพียงแต่สร้างความฮือฮา แต่ยังเป็นตัวเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ใน ตลาดรถยนต์กระบะเชิงพาณิชย์ (Commercial Pickup Segment) ซึ่งเป็นตลาดหลักของไทยที่ถูกครอบงำด้วยเครื่องยนต์ดีเซลมาอย่างยาวนาน

  1. ตลาดกระบะเชิงพาณิชย์: ยุคแห่งการแบ่งขั้ว
  2. ตลาดกระบะไทยกำลังเข้าสู่ยุคแห่งการแบ่งขั้วอย่างชัดเจน:

    • กระบะดีเซล (ICE): ยังคงเป็นที่พึ่งหลักสำหรับงานหนัก, งานลากจูงทางไกล และงานในพื้นที่ทุรกันดาร เนื่องจากมีความทนทานสูงและเครือข่ายเติมน้ำมันที่ครอบคลุม
    • กระบะไฟฟ้า (BEV): TRAVO-e จะเข้ามาเจาะตลาดใหม่ คือ กลุ่มขนส่งในเมือง (City Logistics) และการขนส่ง B2B โดยเฉพาะองค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องการเปลี่ยนฟลีทรถยนต์เพื่อบรรลุเป้าหมาย Carbon Neutrality
    GQ Everyday กางเกงในรุ่นประหยัด
    กางเกงในGQ รุ่นประหยัด ผ้านุ่ม ใส่สบายมาก ลองแล้วติดใจเลย ขายดีมากเกือบแสนชิ้น
  3. โอกาสและความได้เปรียบของ Hilux TRAVO-e
  4. โตโยต้าใช้ความได้เปรียบหลักในการเข้าสู่ตลาด EV เชิงพาณิชย์:

    • ความเชื่อมั่นในแบรนด์ (Reliability): การใช้พื้นฐานตัวรถ Hilux ซึ่งเป็นที่ยอมรับเรื่องความแกร่งและความทนทาน ทำให้องค์กรกล้าตัดสินใจเปลี่ยนมาใช้ EV ได้ง่ายขึ้นเมื่อเทียบกับแบรนด์ใหม่
    • เครือข่ายบริการ: โตโยต้ามี เครือข่ายศูนย์บริการที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อการตัดสินใจของธุรกิจที่ต้องการความมั่นใจในการซ่อมบำรุงและจัดการฟลีทรถยนต์
    • ต้นทุนการดำเนินงาน (TCO): แม้ราคาเริ่มต้น (1.491 ล้านบาท) จะสูงกว่ากระบะดีเซล แต่ต้นทุนการขับเคลื่อนต่อกิโลเมตรที่ต่ำมากของ EV จะเป็นจุดขายหลักในการลด "ต้นทุนรวมในการเป็นเจ้าของ" (Total Cost of Ownership) ให้กับธุรกิจในระยะยาว
    UNEED Powerbank เล็กที่สุด
    พาวเวอร์แบงไร้สาย เล็กที่สุด บางเบาพกพาสะดวก ชาร์จเร็วมีประสิทธิภาพ ขายแล้วกว่า 20K ชิ้น
  5. ความท้าทายที่ TRAVO-e ต้องเผชิญ
  6. แม้จะมีความได้เปรียบ แต่ TRAVO-e ก็มีโจทย์ท้าทายที่ต้องพิสูจน์:

    • ระยะทางการวิ่ง: ระยะทาง 315 กม. (NEDC) อาจยังจำกัดการใช้งานสำหรับการขนส่งข้ามจังหวัด หรือธุรกิจที่ต้องวิ่งงานหนักตลอดวัน
    • ราคาเริ่มต้น: ราคา 1.491 ล้านบาท ยังค่อนข้างสูง ทำให้การเข้าถึงผู้ประกอบการรายย่อย (SMEs) ที่ต้องการใช้กระบะยังคงเป็นเรื่องยาก
    • คู่แข่ง EV จีน: ค่าย EV จีนหลายรายก็เริ่มนำเข้ารถกระบะไฟฟ้ามาทดสอบตลาดแล้ว (เช่น MG Extender EV) ซึ่งอาจจะมาพร้อมกับราคาที่แข่งขันได้ดีกว่า
เก้าอี้แคมป์ปิ้งน้ำหนักเบาพกพาสะดวก รับน้ำหนัก 300KG ขายดีมากกว่า 60K ชิ้น

ตลาดกระบะจะเปิดมิติใหม่

          การปรากฏตัวของ Hilux TRAVO-e ไม่ได้หมายความว่ากระบะดีเซลจะหายไปในทันที แต่เป็นการ "เปิดประตู" ให้ตลาดกระบะเชิงพาณิชย์มีทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นทางการ องค์กรธุรกิจจะเริ่มคำนวณความคุ้มค่าระหว่างต้นทุนดีเซลที่เพิ่มขึ้นกับต้นทุนการดำเนินงานของ EV ที่ลดลงอย่างจริงจัง ทำให้เกิดการลงทุนในรถกระบะไฟฟ้าฟลีทใหญ่ ๆ ในปี 2569 เป็นต้นไปอย่างแน่นอน

          การตัดสินใจเปลี่ยนมาใช้รถกระบะไฟฟ้าอย่าง Toyota Hilux TRAVO-e ถือเป็นการลงทุนครั้งสำคัญที่ช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานในระยะยาว แต่การบริหารความเสี่ยงยังเป็นสิ่งจำเป็นสูงสุด ไม่ว่าคุณจะเป็นเจ้าของรถกระบะไฟฟ้าอยู่แล้ว หรือกำลังพิจารณาจัดซื้อฟลีทรถกระบะ EV ในอนาคต การเลือกความคุ้มครองที่เหมาะสมถือเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม ท่านสามารถปรึกษาและเช็คราคาเบี้ยประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้าสำหรับรถกระบะจากหลากหลายบริษัทชั้นนำได้ทันทีที่ Allinsure พิเศษ! สำหรับลูกค้าในพื้นที่จังหวัดจันทบุรี Allinsure มีข้อเสนอและโปรโมชั่นส่วนลดพิเศษ เพื่อให้คุณมั่นใจได้ว่าจะได้รับความคุ้มครองที่ดีที่สุดสำหรับทรัพย์สินใหม่ของคุณในราคาที่คุ้มค่าสูงสุด

เช็คเบี้ยประกันภัยรถยนต์ฟรี

ส่องผลกระทบ 4 ด้าน ถ้าอนาคตไทยใช้ EV100%

อนาคตไทยใช้ EV100%

          การเปลี่ยนผ่านประเทศไทยไปสู่การใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) 100% นั้น จะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่และรอบด้านต่อเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ทั้งในแง่บวกและแง่ลบ

🌍 ผลกระทบของการเปลี่ยนผ่านสู่ EV 100% ในประเทศไทย

  1. ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิต
    • ลดมลพิษทางอากาศอย่างรุนแรง: การไม่มีการปล่อยไอเสียจากท่อ (Zero Tailpipe Emission) จะช่วยลดปัญหามลพิษในเขตเมืองใหญ่ โดยเฉพาะ ฝุ่น PM2.5 และก๊าซพิษอื่น ๆ ได้อย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้คุณภาพอากาศและสุขภาพของประชาชนดีขึ้น
    • ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคขนส่ง: ช่วยให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน (SDG) และเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ได้เร็วขึ้น
    • เสียงเงียบขึ้น: สภาพแวดล้อมในเมืองจะลดความหนาแน่นของเสียงรบกวน (Noise Pollution) เนื่องจากรถ EV มีการทำงานที่เงียบกว่าเครื่องยนต์สันดาปภายในหลายเท่า
    หมอนโทโทริ
    หมอนโทโทริ นุ่มกว่าขนห่านแท้ 3 เท่า นอนสบายโคตรๆ มีประกันสินค้า ขายดีกว่า 4 หมื่นชิ้น
  2. ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์และการจ้างงาน
    • การลงทุนใหม่และฐานการผลิต: ประเทศไทยจะกลายเป็น ศูนย์กลางการผลิต EV ที่สำคัญของอาเซียน (EV Hub) อย่างแท้จริง โดยดึงดูดการลงทุนมหาศาลจากค่ายรถยนต์ทั่วโลก (โดยเฉพาะจีน) เพื่อตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่
    • วิกฤตการจ้างงานในอุตสาหกรรมเดิม: อุตสาหกรรมชิ้นส่วนรถยนต์สันดาปภายใน (Internal Combustion Engine - ICE) เดิม ซึ่งมีบุคลากรนับแสนคน จะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง โรงงานผลิตชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้องกับเครื่องยนต์สันดาปจะกลายเป็น "สินทรัพย์สูญค่า" (Stranded Assets) และคนงานจำนวนมากเสี่ยงต่อการถูกเลิกจ้าง หากไม่มีการฝึกอบรมทักษะใหม่เพื่อรองรับการผลิต EV
    • การพึ่งพาเทคโนโลยีแบตเตอรี่: ไทยยังขาดเทคโนโลยีหลักในการผลิตแบตเตอรี่ ทำให้ต้องพึ่งพาจีน (ซึ่งครองส่วนแบ่งตลาดแบตเตอรี่ขนาดใหญ่) ซึ่งอาจนำไปสู่ข้อจำกัดในการแข่งขันในระยะยาว
    กางเกงฟุตบอล WARRIX
    กางเกงฟุตบอลWARRIX เบาสบาย แห้งง่าย ผ้าระบายอากาศได้ดี ขายดีกว่า 3แสนชิ้น
  3. ผลกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐานและพลังงาน
    • ความต้องการไฟฟ้าเพิ่มสูง: หากรถยนต์ทั้งหมดเปลี่ยนเป็น EV จะทำให้ความต้องการไฟฟ้าของประเทศเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล จำเป็นต้องมีการลงทุนขนาดใหญ่เพื่อ เพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้า และ ปรับปรุงระบบสายส่ง ให้รองรับการจ่ายไฟที่มีเสถียรภาพและเพียงพอ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่มีการชาร์จสูงสุด (Peak Demand)
    • การขยายเครือข่ายสถานีชาร์จ: ต้องมีการเร่งพัฒนาโครงข่ายสถานีชาร์จสาธารณะ (Quick Charge และ Normal Charge) ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ (รัฐบาลตั้งเป้าหมายติดตั้ง $12,000$ แห่งภายในปี 2573) รวมถึงการสร้างมาตรฐานและกฎระเบียบที่ชัดเจน
    • แหล่งผลิตไฟฟ้า: ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของ EV จะขึ้นอยู่กับแหล่งที่มาของไฟฟ้า หากไฟฟ้ายังคงมาจากเชื้อเพลิงฟอสซิลจำนวนมาก ผลประโยชน์ด้านการลดคาร์บอนก็จะลดลง (ต้องเร่งเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียน)
    Yuedpao Ultrasoft
    เสื้อยืดคอกลม Yuedpao ไม่ย้วย ไม่หด ไม่ต้องรีด ผ้านุ่ม ไม่ขึ้นขุย ขายดีกว่า 8 หมื่นชิ้น
  4. ผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม
    • การเปลี่ยนแปลงในธุรกิจน้ำมัน: ธุรกิจปั๊มน้ำมันและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการกลั่นและจำหน่ายเชื้อเพลิงฟอสซิลจะลดบทบาทลงอย่างมาก
    • ประหยัดค่าใช้จ่าย: ผู้บริโภคจะประหยัดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานในระยะยาว เนื่องจากต้นทุนการขับเคลื่อนต่อกิโลเมตรของรถ EV ต่ำกว่ารถน้ำมันมาก ($0.37$ บาท/กม. เทียบกับ $1.76$ บาท/กม. โดยประมาณ)
    • การจัดการขยะแบตเตอรี่: เกิดความท้าทายในการจัดการ ขยะแบตเตอรี่รถยนต์ ที่ใช้แล้วจำนวนมหาศาล ซึ่งจำเป็นต้องมีมาตรการและเทคโนโลยีรีไซเคิลที่ชัดเจนและมีประสิทธิภาพ

          โดยสรุปแล้ว การใช้รถEV 100% จะเป็น "การผ่าตัดใหญ่" ทางเศรษฐกิจ แต่เป็นเส้นทางที่เลี่ยงไม่ได้ในการบรรลุเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมโลก และยกระดับประเทศไทยให้เป็นผู้นำด้านยานยนต์ยุคใหม่ในภูมิภาค

          ไม่ว่าคุณจะเป็นเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าอยู่แล้ว หรือกำลังพิจารณาจะเปลี่ยนมาใช้รถ EV ในอนาคต สิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามคือ การวางแผนความคุ้มครองที่เหมาะสม เพื่อรองรับความเสี่ยงด้านอุบัติเหตุและมูลค่าแบตเตอรี่ที่สูง หากคุณต้องการทราบทางเลือกที่คุ้มค่าที่สุด พร้อมเปรียบเทียบเบี้ยประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้าจากหลากหลายบริษัทชั้นนำ ขอแนะนำให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านประกันภัยจาก Allinsure โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับลูกค้าในพื้นที่จังหวัดจันทบุรี ทาง Allinsure มีโปรโมชั่นส่วนลดและข้อเสนอพิเศษเฉพาะพื้นที่ เพื่อช่วยให้คุณได้รับความคุ้มครองที่ดีที่สุดในราคาที่ประหยัดที่สุดในการเดินทางด้วยรถ EV ของคุณ

เช็คเบี้ยประกันภัยรถยนต์ฟรี

วันพุธที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

⚠️ โค้งสุดท้าย EV 3.0 รถยนต์ไฟฟ้าจีนลดเดือด! ผู้บริโภคได้เฮ ก่อนราคาปีหน้าพุ่ง

รถยนต์ไฟฟ้าจีนลดเดือด

          ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในประเทศไทยกำลังเข้าสู่ช่วงเวลาที่ดุเดือดที่สุดของปี เมื่อผู้ผลิตจากประเทศจีนต่างเร่งทำ "สงครามราคา" ครั้งใหญ่ เพื่อระบายสต็อกรถยนต์ที่นำเข้าภายใต้มาตรการส่งเสริม EV 3.0 ของรัฐบาล ก่อนที่เงื่อนไขการผลิตชดเชยจะสิ้นสุดลง

ไฟไหม้ราคา: แบรนด์จีนทุ่มสุดตัว

          มาตรการ EV 3.0 ที่ให้เงินอุดหนุนและลดภาษีสรรพสามิตสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่นำเข้า มีเงื่อนไขผูกพันให้ผู้ประกอบการต้องเริ่ม ผลิตชดเชย รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยให้ได้ตามสัดส่วนที่กำหนดในช่วงต้นปี 2569 (หรือก่อนหน้านั้น) เพื่อรักษาสิทธิประโยชน์

          ด้วยเงื่อนไขที่กำลังจะหมดอายุ ทำให้ผู้ประกอบการเลือกที่จะอัดแคมเปญลดราคาอย่างหนักในช่วงโค้งสุดท้าย:

  • ส่วนลดหลักแสน: แบรนด์ใหญ่อย่าง BYD และ MG ประกาศมอบส่วนลดเงินสดและแคมเปญรวมมูลค่าสูงสุดถึง 100,000 - 200,000 บาท ในรถยนต์รุ่นหลักๆ เพื่อจูงใจให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อก่อนสิ้นปี
  • เป้าหมาย: การลดราคาครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อเร่งเคลียร์สต็อกรถยนต์ที่นำเข้าสำเร็จรูป (CBU) ให้ได้มากที่สุดก่อนการเปลี่ยนผ่านสู่การผลิตในประเทศ
น้ำยาเคลือบเงา ceraxwax
น้ำยาเคลือบเงา ขายดีกว่า 20,000 ชิ้น

คำเตือน: ราคา EV ปี 2569 จะปรับตัวสูงขึ้น

          แม้ผู้บริโภคจะได้ประโยชน์จากส่วนลดมหาศาลในวันนี้ แต่ผู้ประกอบการต่างออกมาส่งสัญญาณเตือนอย่างชัดเจนเกี่ยวกับราคาในปีหน้า:

          "เนื่องจากมาตรการเงินอุดหนุนของภาครัฐจะสิ้นสุดลง ทำให้ต้นทุนรถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตหรือนำเข้าในปี 2569 จะปรับตัวสูงขึ้นอย่างแน่นอน ดังนั้น ผู้บริโภคที่ต้องการซื้อ EV ในราคาคุ้มค่าที่สุด ควรตัดสินใจภายในช่วงปลายปีนี้"

บทสรุป

          ช่วงปลายปีนี้จึงถือเป็น "โอกาสสุดท้าย" สำหรับผู้บริโภคชาวไทยที่จะเป็นเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าในราคาต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดและเข้มข้นที่สุดในตลาด EV ไทย ก่อนที่โครงสร้างราคาและเงื่อนไขภาษีใหม่จะถูกนำมาใช้อย่างเต็มรูปแบบในปีหน้า.

          สำหรับลูกค้าที่เป็นเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้า ที่ต้องการเบี้ยประกันภัยรถยยนต์ไฟฟ้าราคาดี พร้อมบริการให้คำปรึกษาหลังการขายอย่างไม่ทิ้งขว้าง ติดต่อ ALLINSURE เพื่อเช็คเบี้ยกันฟรีได้เลยที่นี่

เช็คเบี้ยประกันภัยรถยนต์ฟรี

วันอาทิตย์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2568

วิกฤตอลูมิเนียม! Ford, Stellantis หยุดผลิต F-150/Jeep ต้นทุนพุ่ง ลูกค้ารอรถนาน

วิกฤตอลูมิเนียม

ข่าวใหญ่! Ford และ Stellantis เผชิญวิกฤตหยุดสายการผลิต: วงการรถยนต์สหรัฐฯ สะเทือนจากปัญหาอะลูมิเนียมขาดตลาด

          ผู้บริโภคที่กำลังรอคอยรถยนต์รุ่นใหม่จากค่ายยักษ์ใหญ่ของอเมริกาอาจต้องรอนานขึ้น เมื่อ Ford Motor และ Stellantis (เจ้าของแบรนด์ Jeep และ Ram) ต้องประกาศหยุดการผลิตรถยนต์ในโรงงานหลายแห่งทั่วสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง

          วิกฤตการณ์ครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นผลพวงจากความเปราะบางของห่วงโซ่อุปทานที่ถูกกระหน่ำซ้ำเติมด้วยเหตุการณ์ไม่คาดฝัน

ต้นตอวิกฤต: ไฟไหม้ซัพพลายเออร์อะลูมิเนียมรายใหญ่

          ปัญหาหลักที่ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์ต้องหยุดสายพานการผลิตคือ การขาดแคลนชิ้นส่วนอะลูมิเนียมที่สำคัญ สืบเนื่องจากเหตุการณ์ไฟไหม้รุนแรงที่ โรงงาน Novelis ในรัฐนิวยอร์ก (Reuters: รายงานเหตุเพลิงไหม้เมื่อเดือนกันยายน 2568) ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้จัดหาแผ่นอะลูมิเนียมรายใหญ่ที่สุดของอุตสาหกรรมยานยนต์ในสหรัฐฯ

          การคาดการณ์ล่าสุดระบุว่า โรงงานแห่งนี้จะไม่สามารถกลับมาดำเนินการได้เต็มกำลังจนกว่าจะถึงไตรมาสแรกของปี 2569 ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อแผนการผลิตของ Big Three ในอเมริกาอย่างหนัก

ผลกระทบต่อรุ่นรถทำเงิน

การหยุดชะงักนี้ส่งผลกระทบต่อรถยนต์รุ่นที่ทำกำไรหลักของแต่ละค่าย:

  • Ford: ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสายการผลิตรถกระบะ Ford F-150 ซึ่งเป็นรถยนต์ขายดีที่สุดในสหรัฐฯ รวมถึงรถ SUV ขนาดใหญ่อย่าง Ford Expedition และ Lincoln Navigator สำนักข่าวอินโฟเควสท์รายงานผล วิเคราะห์จาก Evercore ISI ประเมินว่า ความเสียหายจากการผลิตที่หายไปนี้ อาจทำให้ Ford ต้องสูญเสียรายได้สูงถึง 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
  • Stellantis: โรงงานผลิตรถ SUV พรีเมียมอย่าง Jeep Wagoneer และรุ่นอื่นๆ ต้องหยุดดำเนินการ การขาดแคลนชิ้นส่วนหลักคือ ฝากระโปรงและประตูที่ทำจากอะลูมิเนียม ซึ่งทำให้ต้องขยายเวลาปิดโรงงานไปอีกหลายสัปดาห์

ต้นทุนพุ่ง ผู้บริโภคแบกรับ

          นอกจากปัญหาการส่งมอบที่ล่าช้าแล้ว วิกฤตอะลูมิเนียมยังส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตโดยตรง โดยมีรายงานว่า ราคาอะลูมิเนียมและโลหะอื่นๆ ในตลาดสหรัฐฯ ได้พุ่งสูงขึ้น 10-25%

          สถานการณ์นี้ไม่เพียงแต่กดดันผลกำไรของผู้ผลิตรถยนต์เท่านั้น แต่ยังเป็นปัจจัยผลักดันให้ ราคารถยนต์ใหม่ในตลาดสหรัฐฯ มีแนวโน้มสูงขึ้นไปอีก ซ้ำเติมภาระผู้บริโภคที่เผชิญกับราคารถยนต์ที่แพงเป็นประวัติการณ์อยู่แล้ว

          การหยุดชะงักของโรงงานในครั้งนี้เป็นสัญญาณเตือนครั้งสำคัญที่สะท้อนให้เห็นว่า ห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมยานยนต์ยังคงมีความเปราะบางสูง แม้แต่ในขั้นตอนการผลิตวัตถุดิบหลักอย่างอะลูมิเนียมก็ตาม

About