โครงสร้างพื้นฐานการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในประเทศไทยกำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด จากการสนับสนุนของภาครัฐและผู้ประกอบการเอกชนหลายราย อย่างไรก็ตาม ยังมีความท้าทายในด้านความครอบคลุมและคุณภาพการให้บริการ
นี่คือสรุปภาพรวมของโครงสร้างพื้นฐานการชาร์จ EV ในประเทศไทย ณ ช่วงเวลาปัจจุบัน:
1. ภาพรวมการเติบโตและจำนวนหัวชาร์จ
จำนวนสถานีชาร์จเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว: ประเทศไทยมีการขยายจำนวนสถานีชาร์จสาธารณะอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เพื่อรองรับจำนวนรถ EV ที่เพิ่มขึ้นตามมาตรการส่งเสริมของรัฐบาล
เป้าหมายของภาครัฐ: รัฐบาลมีเป้าหมายภายใต้นโยบาย 30@30 ที่จะผลักดันให้มี หัวชาร์จสาธารณะรวมกว่า 12,000 หัวจ่าย ภายในปี 2573 (ค.ศ. 2030) เพื่อให้เพียงพอต่อจำนวนรถ EV ที่คาดการณ์ว่าจะสูงถึง 2 ล้านคัน
2. ประเภทของหัวชาร์จและมาตรฐาน
ประเภทหัวชาร์จ
AC Charger: ชาร์จแบบกระแสสลับ (ช้า) ติดตั้งตามบ้าน อาคารสำนักงาน ห้างสรรพสินค้า เหมาะสำหรับจอดค้างคืนหรือจอดนานหลายชั่วโมง
DC Charger: ชาร์จแบบกระแสตรง (เร็ว) ติดตั้งตามปั๊มน้ำมัน สถานีบริการสาธารณะ เหมาะสำหรับการเดินทางไกลและต้องการความรวดเร็ว
3. ผู้ให้บริการหลักในตลาด
ตลาดสถานีชาร์จในไทยมีการแข่งขันสูง โดยมีผู้เล่นหลักจากทั้งภาครัฐและเอกชน ดังนี้:
กลุ่มพลังงาน (ปตท. และบริษัทในเครือ): เช่น EV Station PluZ (ขยายจุดชาร์จในปั๊ม PTT Station และพื้นที่เชิงพาณิชย์)
กลุ่มการไฟฟ้า: เช่น MEA EV (การไฟฟ้านครหลวง) และ PEA VOLTA (การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค) เน้นการขยายในเขตพื้นที่รับผิดชอบและเส้นทางหลักทั่วประเทศ
กลุ่มเอกชนและผู้ผลิตรถยนต์: เช่น EA Anywhere (พลังงานบริสุทธิ์), SHARGE, Elex by EGAT (กฟผ.), MG Super Charge, และผู้ประกอบการรายย่อยอื่นๆ ซึ่งเน้นทำเลในห้างสรรพสินค้าและอาคารสำนักงาน
4. อัตราค่าบริการ
ราคาแปรผันตามช่วงเวลา: ผู้ให้บริการส่วนใหญ่นำระบบ On-Peak (ช่วงเวลาที่มีการใช้ไฟฟ้าสูงสุด เช่น กลางวัน/เวลาทำงาน) และ Off-Peak (ช่วงที่มีการใช้ไฟฟ้าน้อย เช่น กลางคืน/วันหยุด) มาใช้ โดยราคาช่วง Off-Peak จะถูกกว่า เพื่อจูงใจให้ผู้ใช้ชาร์จในช่วงนอกเวลาเร่งด่วน
ราคาเฉลี่ย DC Fast Charge: อยู่ในช่วงประมาณ 7 - 8.5 บาท/หน่วย (ในช่วง On-Peak) และลดลงในช่วง Off-Peak
5. ความท้าทายหลักของโครงสร้างพื้นฐาน
ความครอบคลุมในต่างจังหวัด: แม้สถานีชาร์จจะเพิ่มขึ้น แต่ความหนาแน่นและระยะห่างระหว่างสถานีชาร์จเร็วในเส้นทางรอง หรือในพื้นที่ต่างจังหวัดยังคงเป็นปัญหาสำหรับผู้เดินทางไกล
ความพร้อมใช้งาน (Uptime): ปัญหาความไม่เสถียรของเครื่องชาร์จ หรือการจองคิวที่ยากลำบากในช่วงวันหยุดยาว ยังคงเป็นสาเหตุหลักของ "ความกังวลเรื่องการชาร์จ" (Charging Anxiety)
ความหลากหลายของแอปพลิเคชัน: ผู้ใช้ต้องติดตั้งและลงทะเบียนใช้งานหลายแอปพลิเคชัน (ตามผู้ให้บริการ) ทำให้เกิดความไม่สะดวกในการใช้งาน
คุณภาพไฟฟ้าและระบบ Grid: การเตรียมความพร้อมของระบบสายส่งและการบริหารจัดการพลังงานในพื้นที่ที่มีการชาร์จหนาแน่น (Smart Grid) เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องเร่งพัฒนาเพื่อรองรับกำลังการชาร์จที่สูงขึ้นในอนาคต