🔌⛽ ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) ไม่ได้ "โลกสวย" อย่างที่คิด: รายงานชี้ ปล่อยมลพิษเกือบเท่ารถน้ำมันเบนซินในการใช้งานจริง
รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (Plug-in Hybrid Electric Vehicle: PHEV) ถูกนำเสนอมานานในฐานะสะพานเชื่อมระหว่างรถยนต์น้ำมันสู่ยุค EV เต็มรูปแบบ ด้วยคำสัญญาว่าจะช่วยลดการปล่อยมลพิษได้อย่างมากในขณะที่ยังสามารถขับทางไกลได้อย่างไร้กังวลเรื่องแบตเตอรี่หมด
ทว่ารายงานล่าสุดจากกลุ่มนักวิเคราะห์ด้านสิ่งแวดล้อมและการขนส่งของยุโรป ได้เปิดเผยข้อเท็จจริงที่น่าตกใจ โดยพบว่า PHEV ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ในโลกแห่งความเป็นจริง สูงกว่าที่ตัวเลขทางการระบุไว้เกือบ 5 เท่า และมีความแตกต่างด้านมลพิษกับรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซินทั่วไปเพียงน้อยนิดเท่านั้น (The Guardian, 2025)
ตัวเลขจริง VS ตัวเลขในห้องแล็บ: ช่องว่างที่ใหญ่เกินคาด
ผลการวิเคราะห์ข้อมูลการใช้งานจริงจากรถยนต์ PHEV กว่า 800,000 คันในยุโรป ระหว่างปี 2021 ถึง 2023 สรุปได้ดังนี้
| รายละเอียด | ผลการทดสอบในห้องปฏิบัติการ (WLTP) | ผลการใช้งานจริง (Real-World Data) |
|---|---|---|
| การปล่อย CO2 (เทียบกับตัวเลขทางการ) | 1.0 เท่า | 4.9 เท่า |
| การปล่อย CO2 (เทียบกับรถน้ำมัน) | ต่ำกว่า 75% | ต่ำกว่าเพียง 19% |
| สัดส่วนการขับขี่ด้วยไฟฟ้า (Utility Factor) | 84% | เพียง 27% |
ตัวเลขนี้ชี้ให้เห็นว่า PHEV ไม่ได้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างที่ผู้ผลิตกล่าวอ้าง และไม่ได้ตอบโจทย์การลดมลพิษได้มากเท่าที่ควร
เหตุผลเบื้องหลังทำไม PHEV ถึงไม่ "เขียว" จริง
นักวิจัยระบุว่าความแตกต่างมหาศาลนี้เกิดจาก สมมติฐานที่ผิดพลาดเกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้งาน ของผู้บริโภค
- ไม่ชาร์จ ไม่ใช่ไฮบริด: ผู้ขับขี่ส่วนใหญ่ใช้งานรถ PHEV โดยพึ่งพาเครื่องยนต์สันดาปเป็นหลัก เพราะการชาร์จแบตเตอรี่ขนาดเล็กบ่อยครั้งเป็นเรื่องไม่สะดวก หรือขาดโครงสร้างพื้นฐานในการชาร์จ ทำให้สัดส่วนการใช้ไฟฟ้าจริงอยู่ที่เพียง 27% เท่านั้น
- มอเตอร์ไฟฟ้ากำลังไม่พอ: แม้แต่ในขณะที่รถถูกตั้งค่าให้ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า (EV Mode) ก็ยังพบว่าเครื่องยนต์เบนซินจะถูกเรียกให้ทำงานโดยอัตโนมัติ เพื่อเสริมกำลังเกือบหนึ่งในสามของระยะทางที่ขับขี่ เนื่องจากมอเตอร์ไฟฟ้าอาจมีกำลังไม่เพียงพอสำหรับการขับเคลื่อนทั้งหมด
- ปัญหาด้านดีไซน์และเทคโนโลยี: PHEV ยังขาดระบบชาร์จเร็ว (Fast Charging) ทำให้ผู้ขับขี่เลือกเติมน้ำมันแทนการรอชาร์จ ส่งผลให้รถวิ่งด้วยน้ำมันแทบจะตลอดเวลา
ผลกระทบต่อผู้บริโภคและอุตสาหกรรม
- ผู้ขับขี่จ่ายแพงกว่าที่คิด: การใช้เชื้อเพลิงที่สูงกว่าที่คาดการณ์ ทำให้ผู้ขับขี่ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายค่าน้ำมันสูงกว่าตัวเลขทางการถึงหลายร้อยดอลลาร์ต่อปี
- บริษัทผู้ผลิต "รอด" ค่าปรับ: ตัวเลขการปล่อยมลพิษที่ต่ำเกินจริงจากผลการทดสอบ ทำให้กลุ่มบริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่สามารถหลีกเลี่ยงค่าปรับจากกฎหมาย CO2 ของสหภาพยุโรปได้เป็นมูลค่ารวมกว่า 5 พันล้านยูโร
- ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง: ผลการศึกษาได้จุดประเด็นทางการเมืองอีกครั้ง โดยมีนักการเมืองบางรายในยุโรปพยายามผลักดันให้ PHEV เป็น "ทางเลือกที่ยืดหยุ่น" เพื่อใช้ต่อต้านการบังคับใช้มาตรการห้ามขายรถยนต์สันดาปในปี 2035
บทสรุป
รายงานนี้เป็นสัญญาณเตือนที่ชัดเจนว่าการประเมินประสิทธิภาพด้านมลพิษของรถยนต์ PHEV ต้องปรับเปลี่ยนไปตามการใช้งานจริง ไม่ใช่เพียงตัวเลขในห้องปฏิบัติการ สำหรับผู้บริโภคที่กำลังพิจารณาซื้อรถยนต์พลังงานทางเลือก การวิเคราะห์ถึงพฤติกรรมการขับขี่และการชาร์จของตนเองอย่างจริงจัง จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่สุด เพื่อให้แน่ใจว่าการตัดสินใจซื้อรถนั้น "สีเขียว" อย่างแท้จริงทั้งต่อกระเป๋าสตางค์และสิ่งแวดล้อม
