วันเสาร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2568

ทำประกันยังไงไม่โดนหลอก! เช็ก "ใบอนุญาต" คือเกราะป้องกันภัยไซเบอร์ที่ดีที่สุด

เช็ก "ใบอนุญาต"

🕵️‍♂️ ทำประกันไม่ให้โดนหลอก! "ตรวจสอบใบอนุญาต" หัวใจสำคัญก่อนตัดสินใจซื้อทุกครั้ง

          ในยุคที่ภัยไซเบอร์และมิจฉาชีพมีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว การตัดสินใจทำประกันภัยจึงไม่ใช่แค่การมองหาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ แต่ยังรวมถึงการ "ตรวจสอบใบอนุญาต" ของผู้เสนอขายและบริษัทประกันให้แน่ใจว่าเป็นของจริงและถูกต้องตามกฎหมาย ถือเป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยปกป้องคุณจากการถูกหลอกลวงและสูญเสียเงินทอง

          สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ย้ำเตือนและส่งเสริมให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญในจุดนี้อย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังพบมิจฉาชีพสร้างแอปพลิเคชันปลอม หรือหลอกขายกรมธรรม์ประกันภัยที่ไม่มีอยู่จริง ซึ่งไม่เพียงทำให้เสียเงิน แต่ยังอาจถูกนำข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้ในทางมิชอบ

ทำไมต้องตรวจสอบใบอนุญาต?

  1. ป้องกันการถูกหลอก: ใบอนุญาตเป็นเครื่องยืนยันว่าบุคคลนั้นเป็นตัวแทน/นายหน้าประกันภัยที่ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้องจาก คปภ. หรือบริษัทประกันนั้นเป็นบริษัทที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจ
  2. มั่นใจในความคุ้มครอง: กรมธรรม์ที่ซื้อผ่านตัวแทน/บริษัทที่ถูกกฎหมาย จะได้รับการคุ้มครองตามที่ระบุไว้ในสัญญา และอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ คปภ.
  3. มีช่องทางเรียกร้องที่เป็นธรรม: หากเกิดปัญหา สามารถร้องเรียน หรือปรึกษา คปภ. เพื่อความเป็นธรรมได้

จะตรวจสอบใบอนุญาตได้อย่างไร? ง่าย ๆ แค่นี้!

  • ผ่านเว็บไซต์ คปภ.: เข้าไปที่เว็บไซต์ของสำนักงาน คปภ. (www.oic.or.th) และค้นหาเมนู "ตรวจสอบรายชื่อคนกลางประกันภัย" หรือ "ตรวจสอบรายชื่อบริษัทประกันภัย" จากนั้นกรอกข้อมูล เช่น เลขที่บัตรประชาชนของตัวแทน/นายหน้า หรือชื่อบริษัทประกันภัย >>ตรวจสอบใบอนุญาติที่นี่<<
  • สายด่วน คปภ.: โทรศัพท์สอบถามได้ที่เบอร์ 1186

         อย่าปล่อยให้ความโลภหรือความรีบร้อนมาบดบังการตัดสินใจ การใช้เวลาเพียงเล็กน้อยในการตรวจสอบใบอนุญาต จะช่วยให้คุณ "ทำประกันอย่างมั่นใจ คุ้มครองจริง ปลอดภัยจากมิจฉาชีพ" ได้อย่างแท้จริง

วันพฤหัสบดีที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2568

✨จบงานล้างอย่างสมบูรณ์ ทำไมต้องเคลือบสีรถ? 4 ข้อดีที่นักดูแลรถห้ามพลาด

การเคลือบผิวรถยนต์หลังล้างรถ

ประโยชน์ของการเคลือบผิวรถยนต์หลังล้าง: การลงทุนเพื่อความเงางามและปกป้องสีรถที่คุณรัก

          การล้างรถให้สะอาดเป็นเพียงครึ่งทางของการดูแลรักษารถยนต์ การจบขั้นตอนด้วยการ "เคลือบผิวรถยนต์" หรือการลงแวกซ์ (Waxing) ถือเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยเพิ่มความเงางามและสร้างเกราะป้องกันให้กับสีรถของคุณ บทความนี้จะชี้ให้เห็นถึงประโยชน์หลัก ๆ ของการเคลือบผิวรถยนต์หลังการล้างว่ามีความสำคัญต่อรถของคุณอย่างไร

  1. สร้างชั้นป้องกันสีรถจากมลภาวะและสิ่งสกปรก (Protection Layer)h
  2.           สีรถยนต์ต้องเผชิญกับปัจจัยทำลายมากมายในชีวิตประจำวัน การเคลือบผิวรถจะสร้างฟิล์มบาง ๆ ที่มองไม่เห็นคลุมทับชั้นสีรถไว้ ซึ่งทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันหลักจาก:

    • รังสียูวี (UV Rays): เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้สีรถหมอง, ซีดจาง, และแตกลายงา การเคลือบผิวจะช่วยสะท้อนและลดความรุนแรงของรังสียูวี
    • มูลนกและคราบแมลง: สิ่งเหล่านี้มีฤทธิ์เป็นกรด เมื่อสัมผัสกับสีรถโดยตรงเป็นเวลานานจะกัดกร่อนสีให้เป็นรอยด่าง การเคลือบผิวช่วยป้องกันไม่ให้คราบเหล่านี้สัมผัสกับชั้นสีโดยตรง
    • ฝุ่น, สิ่งสกปรก, และน้ำฝน: เกราะเคลือบจะช่วยลดการเกาะตัวของฝุ่นและทำให้การล้างทำความสะอาดครั้งต่อไปง่ายขึ้น
  3. เพิ่มความเงางามและความโดดเด่นให้กับสีรถ (Enhanced Gloss and Shine)
  4.           นี่คือประโยชน์ที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด การเคลือบผิวรถยนต์ ไม่ว่าจะเป็นแวกซ์ประเภทไหนก็ตาม จะช่วยเติมเต็มร่องรอยเล็ก ๆ บนผิวสีรถ ทำให้พื้นผิวเรียบเนียนขึ้น ส่งผลให้:

    • สีรถดูฉ่ำและลึกขึ้น: โดยเฉพาะรถสีเข้มจะเห็นความเงาที่สะท้อนแสงได้อย่างชัดเจน
    • ผิวสัมผัสเรียบลื่น: เมื่อลองสัมผัสที่ตัวรถหลังการเคลือบ จะรู้สึกถึงความลื่น ลดการเสียดสีที่อาจทำให้เกิดรอยขนแมว
  5. คุณสมบัติไล่น้ำ (Hydrophobic Effect)
  6.           ผลิตภัณฑ์เคลือบผิวรถยนต์ส่วนใหญ่มีคุณสมบัติ "ไฮโดรโฟบิก" (Hydrophobic) หรือการไล่น้ำ เมื่อน้ำหรือของเหลวสัมผัสกับผิวรถที่เคลือบไว้ จะรวมตัวกันเป็นหยดกลม ๆ (Beading) แล้วไหลออกจากผิวรถอย่างรวดเร็ว (Sheeting) ซึ่งมีประโยชน์อย่างยิ่ง:

    • ลดการเกิดคราบน้ำ (Water Spots): เพราะน้ำจะไหลออกไปก่อนที่จะแห้งและทิ้งคราบแร่ธาตุไว้
    • เพิ่มทัศนวิสัยในการขับขี่: โดยเฉพาะบริเวณกระจกหน้ารถ น้ำฝนจะไหลออกไปเร็วขึ้น ทำให้มองเห็นได้ชัดเจนขึ้นเมื่อฝนตก
  7. ช่วยให้การทำความสะอาดครั้งถัดไปง่ายขึ้น (Easy Maintenance)
  8.           เมื่อมีชั้นเคลือบปกป้องอยู่ สิ่งสกปรกต่าง ๆ จะเกาะติดกับชั้นแวกซ์แทนที่จะเกาะติดกับชั้นสีรถโดยตรง ทำให้:

    • ล้างง่ายและประหยัดเวลา: เพียงแค่ฉีดน้ำแรง ๆ ก็สามารถกำจัดสิ่งสกปรกออกไปได้เยอะขึ้น
    • ลดความเสี่ยงการเกิดรอย: เพราะการเสียดสีระหว่างผ้าล้างรถกับสิ่งสกปรกบนผิวรถลดลง

          การเคลือบผิวรถยนต์หลังการล้างถือเป็นการ "บำรุงรักษาเชิงป้องกัน" ที่คุ้มค่า เพราะช่วยรักษาความสวยงามของสีรถให้ดูเหมือนใหม่อยู่เสมอ และยังช่วยยืดอายุการใช้งานของสีรถยนต์แท้ ๆ ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการขัดสีหรือทำสีใหม่ก่อนเวลาอันควร ดังนั้น จึงไม่ควรละเลยขั้นตอนการเคลือบผิวรถยนต์ เพื่อให้รถของคุณสวยงามและได้รับการปกป้องจากอันตรายภายนอกตลอดเวลา

วันจันทร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2568

🚨 PHEV ไม่ได้ "เขียว" จริง! รายงานชี้ ปล่อยมลพิษเกือบเท่ารถเบนซิน

🔌⛽ ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) ไม่ได้ "โลกสวย" อย่างที่คิด: รายงานชี้ ปล่อยมลพิษเกือบเท่ารถน้ำมันเบนซินในการใช้งานจริง

          รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (Plug-in Hybrid Electric Vehicle: PHEV) ถูกนำเสนอมานานในฐานะสะพานเชื่อมระหว่างรถยนต์น้ำมันสู่ยุค EV เต็มรูปแบบ ด้วยคำสัญญาว่าจะช่วยลดการปล่อยมลพิษได้อย่างมากในขณะที่ยังสามารถขับทางไกลได้อย่างไร้กังวลเรื่องแบตเตอรี่หมด

          ทว่ารายงานล่าสุดจากกลุ่มนักวิเคราะห์ด้านสิ่งแวดล้อมและการขนส่งของยุโรป ได้เปิดเผยข้อเท็จจริงที่น่าตกใจ โดยพบว่า PHEV ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ในโลกแห่งความเป็นจริง สูงกว่าที่ตัวเลขทางการระบุไว้เกือบ 5 เท่า และมีความแตกต่างด้านมลพิษกับรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซินทั่วไปเพียงน้อยนิดเท่านั้น (The Guardian, 2025)

ตัวเลขจริง VS ตัวเลขในห้องแล็บ: ช่องว่างที่ใหญ่เกินคาด

          ผลการวิเคราะห์ข้อมูลการใช้งานจริงจากรถยนต์ PHEV กว่า 800,000 คันในยุโรป ระหว่างปี 2021 ถึง 2023 สรุปได้ดังนี้

รายละเอียด ผลการทดสอบในห้องปฏิบัติการ (WLTP) ผลการใช้งานจริง (Real-World Data)
การปล่อย CO2 (เทียบกับตัวเลขทางการ) 1.0 เท่า 4.9 เท่า
การปล่อย CO2 (เทียบกับรถน้ำมัน) ต่ำกว่า 75% ต่ำกว่าเพียง 19%
สัดส่วนการขับขี่ด้วยไฟฟ้า (Utility Factor) 84% เพียง 27%

          ตัวเลขนี้ชี้ให้เห็นว่า PHEV ไม่ได้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างที่ผู้ผลิตกล่าวอ้าง และไม่ได้ตอบโจทย์การลดมลพิษได้มากเท่าที่ควร

เหตุผลเบื้องหลังทำไม PHEV ถึงไม่ "เขียว" จริง

           นักวิจัยระบุว่าความแตกต่างมหาศาลนี้เกิดจาก สมมติฐานที่ผิดพลาดเกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้งาน ของผู้บริโภค

  1. ไม่ชาร์จ ไม่ใช่ไฮบริด: ผู้ขับขี่ส่วนใหญ่ใช้งานรถ PHEV โดยพึ่งพาเครื่องยนต์สันดาปเป็นหลัก เพราะการชาร์จแบตเตอรี่ขนาดเล็กบ่อยครั้งเป็นเรื่องไม่สะดวก หรือขาดโครงสร้างพื้นฐานในการชาร์จ ทำให้สัดส่วนการใช้ไฟฟ้าจริงอยู่ที่เพียง 27% เท่านั้น
  2. มอเตอร์ไฟฟ้ากำลังไม่พอ: แม้แต่ในขณะที่รถถูกตั้งค่าให้ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า (EV Mode) ก็ยังพบว่าเครื่องยนต์เบนซินจะถูกเรียกให้ทำงานโดยอัตโนมัติ เพื่อเสริมกำลังเกือบหนึ่งในสามของระยะทางที่ขับขี่ เนื่องจากมอเตอร์ไฟฟ้าอาจมีกำลังไม่เพียงพอสำหรับการขับเคลื่อนทั้งหมด
  3. ปัญหาด้านดีไซน์และเทคโนโลยี: PHEV ยังขาดระบบชาร์จเร็ว (Fast Charging) ทำให้ผู้ขับขี่เลือกเติมน้ำมันแทนการรอชาร์จ ส่งผลให้รถวิ่งด้วยน้ำมันแทบจะตลอดเวลา

ผลกระทบต่อผู้บริโภคและอุตสาหกรรม

  • ผู้ขับขี่จ่ายแพงกว่าที่คิด: การใช้เชื้อเพลิงที่สูงกว่าที่คาดการณ์ ทำให้ผู้ขับขี่ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายค่าน้ำมันสูงกว่าตัวเลขทางการถึงหลายร้อยดอลลาร์ต่อปี
  • บริษัทผู้ผลิต "รอด" ค่าปรับ: ตัวเลขการปล่อยมลพิษที่ต่ำเกินจริงจากผลการทดสอบ ทำให้กลุ่มบริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่สามารถหลีกเลี่ยงค่าปรับจากกฎหมาย CO2 ของสหภาพยุโรปได้เป็นมูลค่ารวมกว่า 5 พันล้านยูโร
  • ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง: ผลการศึกษาได้จุดประเด็นทางการเมืองอีกครั้ง โดยมีนักการเมืองบางรายในยุโรปพยายามผลักดันให้ PHEV เป็น "ทางเลือกที่ยืดหยุ่น" เพื่อใช้ต่อต้านการบังคับใช้มาตรการห้ามขายรถยนต์สันดาปในปี 2035

บทสรุป

          รายงานนี้เป็นสัญญาณเตือนที่ชัดเจนว่าการประเมินประสิทธิภาพด้านมลพิษของรถยนต์ PHEV ต้องปรับเปลี่ยนไปตามการใช้งานจริง ไม่ใช่เพียงตัวเลขในห้องปฏิบัติการ สำหรับผู้บริโภคที่กำลังพิจารณาซื้อรถยนต์พลังงานทางเลือก การวิเคราะห์ถึงพฤติกรรมการขับขี่และการชาร์จของตนเองอย่างจริงจัง จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่สุด เพื่อให้แน่ใจว่าการตัดสินใจซื้อรถนั้น "สีเขียว" อย่างแท้จริงทั้งต่อกระเป๋าสตางค์และสิ่งแวดล้อม

วันพฤหัสบดีที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2568

🔥 Copayment เงื่อนไขใหม่ ที่ทำให้เบี้ยประกันสุขภาพถูกลง (ถ้าเคลมเป็น!)

Copayment

          ในโลกของประกันสุขภาพ คำว่า "Copayment" (การร่วมจ่าย) ได้กลายเป็นประเด็นสำคัญที่ผู้บริโภคชาวไทยควรทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ได้เข้ามาวางหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนขึ้น ซึ่งมีผลบังคับใช้กับกรมธรรม์ประกันสุขภาพฉบับใหม่ๆ บทความนี้จะอธิบายว่า Copayment คืออะไร มีผลกระทบอย่างไร และเหตุผลเบื้องหลังการใช้เงื่อนไขนี้

🏥 "Copayment" (การร่วมจ่าย) คืออะไร? เจาะลึกเงื่อนไขใหม่ของประกันสุขภาพ ที่คนไทยต้องรู้!

Copayment คืออะไร?

          Copayment (โคเพย์เมนต์) หรือ การร่วมจ่าย คือเงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันสุขภาพที่กำหนดให้ผู้เอาประกันภัยมีส่วน ร่วมรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลบางส่วน ร่วมกับบริษัทประกันภัย

          ในทางปฏิบัติ หมายความว่า เมื่อคุณเข้ารับการรักษาและมีการเคลมค่าใช้จ่าย ผู้เอาประกันไม่ได้โอนความเสี่ยงทางการเงินทั้งหมดไปให้บริษัทประกัน แต่ต้องจ่ายเงินส่วนหนึ่งตามอัตราหรือจำนวนเงินที่ระบุไว้ในสัญญากรมธรรม์

Copayment แตกต่างจาก "Deductible" อย่างไร?

          ผู้คนมักสับสนระหว่าง Copayment กับ Deductible (ค่าความรับผิดส่วนแรก) ซึ่งมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน

คุณสมบัติ Copayment (การร่วมจ่าย) Deductible (ค่าความรับผิดส่วนแรก)
ลักษณะการจ่าย จ่ายเป็น % ของค่ารักษา หรือ จำนวนเงินคงที่ จ่ายเป็น จำนวนเงินคงที่ ต่อรอบปีกรมธรรม์
เวลาที่จ่าย จ่าย ทุกครั้ง ที่มีการเคลม (ในบางกรณี) หรือจ่ายในปีที่มีเงื่อนไข จ่าย ครั้งแรก ที่มีการเคลม (จนกว่าจะครบวงเงินที่กำหนด)
วัตถุประสงค์ ควบคุมพฤติกรรมการเคลมบ่อยเกินไป/ลดภาระเบี้ยประกัน ลดภาระเบี้ยประกัน ทำให้เบี้ยถูกลง/ควบคุมการเคลม

เหตุผลเบื้องหลัง: ทำไม Copayment ถึงมีความจำเป็น?

          คปภ. ชี้แจงว่า การนำเงื่อนไข Copayment มาใช้ (โดยเฉพาะแบบที่ใช้กับการต่ออายุ) มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อ รักษาเสถียรภาพของระบบประกันสุขภาพโดยรวม ไม่ใช่เพื่อเอื้อประโยชน์แก่บริษัทประกัน

  1. ชะลอการเพิ่มขึ้นของเบี้ยประกัน: เนื่องจากต้นทุนการรักษาพยาบาลและอัตราเงินเฟ้อทางการแพทย์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การให้ผู้เอาประกันร่วมจ่ายบางส่วนจะช่วยควบคุมการเคลมที่ไม่จำเป็น และทำให้บริษัทประกันไม่ต้องปรับเพิ่มเบี้ยประกันสูงเกินไป
  2. ลดการใช้สิทธิ์เกินความจำเป็น: เพื่อลดพฤติกรรมการเข้าโรงพยาบาลเป็นผู้ป่วยใน (IPD) ด้วยอาการป่วยเล็กน้อยที่สามารถรักษาแบบผู้ป่วยนอก (OPD) ได้ หรือการเคลมบ่อยครั้งด้วยอาการที่ไม่ซับซ้อน
  3. ส่งเสริมความยั่งยืนของระบบ: เมื่อต้นทุนค่าสินไหมทดแทนถูกควบคุมได้ บริษัทประกันก็จะสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างมั่นคง และให้บริการคุ้มครองสุขภาพแก่ประชาชนได้ในระยะยาว

ประเภทของ Copayment ตามแนวทาง คปภ. ล่าสุด

          ตามแนวทางของ คปภ. สามารถแบ่งรูปแบบการใช้ Copayment ออกเป็น 2 ลักษณะหลัก

  1. Copayment แบบสมัครใจ (ตั้งแต่เริ่มต้นทำประกัน)
    • หลักการ: ผู้เอาประกันสมัครใจเลือกซื้อกรมธรรม์ที่มีเงื่อนไขร่วมจ่ายตั้งแต่แรก โดยอาจร่วมจ่ายเป็นเปอร์เซ็นต์ (เช่น 10% หรือ 20%) หรือเป็นจำนวนเงิน (เช่น 10,000 บาทแรก)
    • ข้อดี: ผู้เอาประกันจะได้รับ ส่วนลดเบี้ยประกันภัยที่ถูกกว่า กรมธรรม์แบบเหมาจ่ายเต็มจำนวนทันที
  2. Copayment แบบมีเงื่อนไข (ใช้ในการต่ออายุกรมธรรม์)
  3. รูปแบบนี้คือการที่ผู้เอาประกันภัย ต้องเริ่มร่วมจ่ายในปีถัดไป หากในปีปัจจุบันมีพฤติกรรมการเคลมเข้าข่ายที่กำหนด โดยมีเงื่อนไขหลักที่สำคัญดังนี้

    ลักษณะการเคลมที่เข้าข่าย (ต้องเข้าครบทุกข้อ) ผลที่ตามมา (ร่วมจ่ายในปีกรมธรรม์ถัดไป)
    เคลมผู้ป่วยใน (IPD) ด้วยโรคเล็กน้อย ตั้งแต่ 3 ครั้งขึ้นไป และมีอัตราการเคลมรวม 200% ขึ้นไปของเบี้ยประกันสุขภาพ ร่วมจ่ายค่ารักษา ไม่เกิน 30% ในปีถัดไป
    เคลมผู้ป่วยใน (IPD) ด้วยโรคทั่วไป (ไม่รวมโรคร้ายแรงและการผ่าตัดใหญ่) ตั้งแต่ 3 ครั้งขึ้นไป และมีอัตราการเคลมรวม 400% ขึ้นไปของเบี้ยประกันสุขภาพ ร่วมจ่ายค่ารักษา ไม่เกิน 30% ในปีถัดไป
    หากเข้าทั้งสองกรณี ร่วมจ่ายค่ารักษา สูงสุดไม่เกิน 50% ในปีถัดไป

สรุปผลกระทบต่อผู้บริโภค

  1. ผู้ที่ถือกรมธรรม์เดิม: กรมธรรม์ที่ซื้อและอนุมัติก่อนที่จะมีการบังคับใช้หลักเกณฑ์ใหม่ จะ ไม่มีผลกระทบทันที แต่เงื่อนไข Copayment อาจถูกนำมาใช้ในการต่ออายุสัญญา โดยบริษัทประกันจะต้องระบุเงื่อนไขและแจ้งให้ทราบอย่างชัดเจน
  2. ผู้ที่จะซื้อกรมธรรม์ใหม่: ควรทำความเข้าใจอย่างละเอียดถึงเงื่อนไข Copayment ทั้งแบบสมัครใจ (เพื่อรับเบี้ยถูกลง) และแบบมีเงื่อนไข (เพื่อหลีกเลี่ยงการร่วมจ่ายในภายหลัง)
  3. ผู้ที่มีประวัติเคลมปกติ: ผู้ที่มีพฤติกรรมการเคลมอย่างสมเหตุสมผล และไม่เคลมบ่อยจนเกินเกณฑ์ที่กำหนด จะ ไม่ได้รับผลกระทบ จากเงื่อนไขการร่วมจ่ายในการต่ออายุนี้ และยังคงได้รับความคุ้มครองเต็มจำนวนตามกรมธรรม์

          ข้อแนะนำสำคัญ: การร่วมจ่ายเป็นเครื่องมือในการสร้างวินัยทางการเงินและลดภาระเบี้ยประกันในระยะยาว ผู้บริโภคจึงควรพิจารณาเลือกแผนประกันที่เหมาะสมกับความสามารถในการรับความเสี่ยงและพฤติกรรมการใช้ชีวิตของตนเองมากที่สุด

วันอังคารที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2568

SUV คืออะไร? ไขทุกข้อสงสัย: ทำไมรถยนต์อเนกประสงค์ถึงครองใจคนทั่วโลกได้สำเร็จ

SUV คืออะไร?

ทำความรู้จักกับ "รถ SUV": ยานยนต์อเนกประสงค์ที่ครองใจคนทั่วโลก

          รถยนต์ประเภท SUV (Sport Utility Vehicle) ได้กลายเป็นหนึ่งในประเภทรถยนต์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก ด้วยการผสมผสานคุณสมบัติที่ดีที่สุดของรถยนต์หลายประเภทเข้าไว้ด้วยกัน ทำให้ตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลาย ตั้งแต่การขับขี่ในเมืองไปจนถึงการเดินทางไกลที่ต้องการความสมบุกสมบัน

1. รถ SUV คืออะไร?

          SUV ย่อมาจาก Sport Utility Vehicle หรือ "รถสปอร์ตอเนกประสงค์" เป็นรถยนต์นั่งที่มีคุณสมบัติเด่นดังนี้

  • รูปลักษณ์แข็งแกร่งและสปอร์ต: มีดีไซน์ที่ดูแข็งแรง ทรงพลัง และมีความสปอร์ตในตัว
  • ความอเนกประสงค์สูง: มีพื้นที่ห้องโดยสารที่กว้างขวาง มักรองรับผู้โดยสารได้ 5-7 ที่นั่ง และมีพื้นที่บรรทุกสัมภาระที่มากกว่ารถเก๋งซีดานทั่วไป
  • ความสูงจากพื้น (Ground Clearance): ตัวรถถูกยกสูงกว่ารถยนต์ทั่วไป ทำให้มีทัศนวิสัยในการขับขี่ที่ดี และสามารถขับขี่บนเส้นทางที่ไม่ราบเรียบหรือมีอุปสรรคได้อย่างมั่นใจ รวมถึงสามารถลุยน้ำท่วมได้ในระดับหนึ่ง
  • สมรรถนะ: มักมาพร้อมกับเครื่องยนต์ที่มีกำลังดี และบางรุ่นมีระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ (4WD/AWD) เพื่อเพิ่มความสามารถในการขับขี่แบบออฟโรดเบาๆ ได้

          รถ SUV ถูกออกแบบมาให้ตอบโจทย์การใช้งานของคนยุคใหม่ที่ต้องการรถยนต์ที่สามารถใช้งานได้ในชีวิตประจำวันอย่างสะดวกสบาย และพร้อมสำหรับการผจญภัยในวันหยุด

2. SUV คันแรกของโลก ถูกผลิตขึ้นที่ประเทศใด?

          การระบุรถ SUV คันแรกของโลก นั้นค่อนข้างซับซ้อน เนื่องจากคำจำกัดความของ "SUV" มีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย แต่หากพิจารณายานยนต์ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการเป็นรถบรรทุกเบาที่ใช้โครงสร้างตัวถังแบบเดียวกับรถยนต์นั่ง และมีความสามารถในการลุยได้ (เป็นบรรพบุรุษของ SUV สมัยใหม่) ยานยนต์ที่ได้รับการยอมรับในฐานะผู้บุกเบิกในกลุ่มนี้คือ Chevrolet Suburban Carryall

  • ยานยนต์ผู้บุกเบิก: Chevrolet Suburban Carryall
  • ปีที่ผลิตครั้งแรก: ค.ศ. 1935 (พ.ศ. 2478)
  • ประเทศที่ผลิต: สหรัฐอเมริกา (United States of America)

          Chevrolet Suburban Carryall ถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานของรถบรรทุก แต่มีการติดตั้งตัวถังแบบสถานี (Station Wagon) ที่สามารถบรรทุกผู้โดยสารได้จำนวนมาก ถือเป็นต้นกำเนิดของรถยนต์อเนกประสงค์ขนาดใหญ่ที่เน้นทั้งการบรรทุกผู้คนและสัมภาระ ซึ่งเป็นแนวคิดหลักของรถ SUV ในปัจจุบัน

3. SUV ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในโลก ปี 2025

          เนื่องจากปี 2025 ยังไม่สิ้นสุด และข้อมูลยอดขายรถยนต์ทั่วโลกในระดับ "สูงสุด" มักจะได้รับการรวบรวมและยืนยันอย่างเป็นทางการในช่วงปลายปีหรือต้นปีถัดไป อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลความนิยมและการจัดอันดับในช่วงเวลานี้ รุ่นที่มักติดอันดับรถ SUV ที่ได้รับความนิยมสูงสุดและมียอดขายโดดเด่นในตลาดโลกอย่างต่อเนื่อง (ซึ่งคาดว่าจะยังคงเป็นที่นิยมในปี 2025) ได้แก่

  • Toyota RAV4: มักจะครองตำแหน่งรถ SUV ที่ขายดีที่สุดในโลกเป็นประจำ ด้วยชื่อเสียงด้านความน่าเชื่อถือ ความประหยัด และการเป็นรถที่ใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน
  • Honda CR-V: เป็นอีกรุ่นที่ได้รับความนิยมอย่างสูงทั่วโลก ด้วยการขับขี่ที่นุ่มนวล ห้องโดยสารกว้างขวาง และเทคโนโลยีความปลอดภัยที่ครบครัน ซึ่งมีการฉลองครบรอบ 30 ปี และมียอดขายสะสมทั่วโลกทะลุ 15 ล้านคัน
  • Tesla Model Y: ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา Model Y ได้ขึ้นมาเป็นหนึ่งในรถยนต์ไฟฟ้าที่ขายดีที่สุดในโลก โดยเฉพาะในตลาดใหญ่ๆ อย่างสหรัฐอเมริกาและยุโรป ด้วยกระแสความนิยมในรถยนต์ไฟฟ้า ทำให้มันกลายเป็น SUV ที่มีอิทธิพลอย่างมากในตลาดโลก

4. SUV ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในไทย

          ในตลาดประเทศไทย ความนิยมของรถ SUV มีการแบ่งกลุ่มที่ชัดเจนระหว่าง SUV (Crossover) และ PPV (Pick-up Passenger Vehicle) ซึ่งมีที่มาจากรถกระบะ และได้รับความนิยมสูงมากเช่นกัน

  • กลุ่ม Crossover SUV (ตัวถังแบบ Monocoque)
    • Toyota Corolla Cross: เป็นหนึ่งในรุ่นที่ทำยอดขายได้ดีอย่างต่อเนื่องในกลุ่มรถ SUV ขนาดกลาง ด้วยราคาที่เข้าถึงง่าย ตัวเลือกเครื่องยนต์ไฮบริด และความเชื่อมั่นในแบรนด์โตโยต้า
    • Honda HR-V / Honda CR-V: ได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ใช้ที่ต้องการความหรูหรา สะดวกสบาย และเทคโนโลยีที่ทันสมัย
  • กลุ่ม PPV (SUV พื้นฐานรถกระบะ
    • Toyota Fortuner: ครองตำแหน่งรถ PPV ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในไทยมาอย่างยาวนาน ด้วยชื่อเสียงด้านความทนทาน สมรรถนะที่พร้อมลุย และความนิยมในตลาดมือสอง
    • Isuzu MU-X / Mitsubishi Pajero Sport / Ford Everest: เป็นรุ่นที่ได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มผู้ใช้ที่ต้องการรถครอบครัว 7 ที่นั่งที่เน้นความสมบุกสมบัน สามารถขับขี่ในทางออฟโรดได้ดี และมีค่าบำรุงรักษาที่ไม่ซับซ้อนเท่ารถนำเข้าบางรุ่น

           โดยรวมแล้ว Toyota Fortuner และ Toyota Corolla Cross มักถูกจัดอยู่ในกลุ่มรถ SUV/PPV ที่ได้รับความนิยมและมียอดขายสูงที่สุดในตลาดประเทศไทยมาโดยตลอด จากปัจจัยด้านความน่าเชื่อถือของแบรนด์และเครือข่ายบริการที่ครอบคลุมทั่วประเทศ

วันอาทิตย์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2568

เปิดพรมแดง 5 แม่ทัพ EV จีนบุกไทย: เจาะจุดเด่น รุ่นเด่น และยอดขายปี 2025

5EV จีน

          ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในประเทศไทยกำลังร้อนระอุ และผู้เล่นหลักที่ขับเคลื่อนตลาดนี้คือแบรนด์จากประเทศจีน ด้วยกลยุทธ์ด้านราคาที่เข้าถึงได้ง่าย เทคโนโลยีที่อัดแน่น และความรวดเร็วในการนำเสนอรุ่นใหม่ ทำให้แบรนด์เหล่านี้ก้าวขึ้นมาเป็น "แม่ทัพ" ที่ครองใจผู้บริโภคชาวไทยอย่างรวดเร็ว

          นี่คือการวิเคราะห์ 5 แม่ทัพ EV ยอดนิยมจากจีนในตลาดประเทศไทย พร้อมเจาะลึกจุดเด่น รุ่นเด่น และสถิติยอดขายสะสม 5 เดือนแรกของปี 2025 (มกราคม - พฤษภาคม)

5 แม่ทัพ EV จีนบุกไทย

แบรนด์ จุดเด่นของแบรนด์ รุ่นเด่นในตลาดไทย ยอดจดทะเบียนสะสม (ม.ค. - พ.ค. 2568)
BYD ผู้นำตลาดด้านยอดขาย และเทคโนโลยีแบตเตอรี่ Blade Battery ที่เน้นความปลอดภัยสูง ทนทาน และการรับประกันที่ยาวนาน มีรุ่นรถที่หลากหลายครอบคลุมหลายกลุ่มราคา BYD ATTO 3: รถ SUV ไฟฟ้าที่ได้รับความนิยมสูงที่สุด BYD Dolphin: รถ Hatchback ราคาเข้าถึงง่าย BYD Sealion 7: SUV ใหม่ที่เริ่มทำยอดขายได้ดี ประมาณ 15,951 คัน (ครองส่วนแบ่งสูงสุด)
GAG AION เน้นเทคโนโลยีแบตเตอรี่และระยะทางการขับขี่ เป็นค่ายที่รุกตลาดอย่างหนักหน่วงด้วยการนำเสนอรถที่มีดีไซน์ทันสมัย และขนาดที่ตอบโจทย์ครอบครัว AION Y Plus: รถ SUV ทรงกล่อง ดีไซน์กว้างขวาง ราคาคุ้มค่า AION V: รถ SUV เน้นเทคโนโลยีและระยะทางการวิ่งที่ดี ประมาณ 4,917 คัน
MG แบรนด์แรกที่บุกตลาดไทยอย่างจริงจัง (ภายใต้การร่วมทุนกับ SAIC) มีเครือข่ายศูนย์บริการที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง และนำเสนอรถยนต์ที่เน้น สมรรถนะการขับขี่แบบสปอร์ต และความคุ้มค่า MG4 Electric: รถ Hatchback ขับเคลื่อนล้อหลัง เน้นสมรรถนะการขับขี่แบบ Fun-to-Drive MG ZS EV: SUV ไฟฟ้าที่เน้นความอเนกประสงค์และการใช้งานในเมือง ประมาณ 4,304 คัน
GWM เน้นดีไซน์ Retro-Futuristic และการสร้างแบรนด์ย่อยที่ชัดเจน (เช่น ORA, HAVAL, TANK) เป็นเจ้าแรก ๆ ที่ทำตลาด EV ในไทยอย่างจริงจัง โดยชูจุดเด่นด้านเทคโนโลยีและความฉลาดของรถ ORA Good Cat: ดีไซน์น่ารักโดนใจกลุ่มผู้หญิงและคนเมือง ORA 07: รถสปอร์ตคูเป้ไฟฟ้าที่เน้นความหรูหรา ประมาณ 2,905 คัน (ส่วนใหญ่เป็น ORA Good Cat)
DEEPAL เทคโนโลยีอัจฉริยะและนวัตกรรม: โดดเด่นด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย เช่น ชิปประมวลผล Qualcomm Snapdragon 8155, หน้าจอสัมผัสซันฟลาวเวอร์ (15.6 นิ้ว) ที่ปรับทิศทางอัตโนมัติหาผู้ขับขี่ และระบบแสดงข้อมูลการขับขี่บนกระจกหน้า (HUD) พร้อมระบบนำทางแบบ AR. Deepal S07: รถยนต์ SUV ไฟฟ้าขนาดกลาง ดีไซน์ล้ำสมัย เน้นความอเนกประสงค์และของเล่นไฮเทค (ราคาเริ่มต้นประมาณ 1.399 ล้านบาท) ประมาณ 3,842 คัน

          หมายเหตุ: ยอดจดทะเบียนสะสม อ้างอิงจากสถิติรถยนต์ไฟฟ้า 100% (BEV) จดทะเบียนในประเทศไทย ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 (มกราคม - พฤษภาคม)

Case Study: Tesla ชนหนัก! ค่าซ่อมกี่ล้าน ค่าเสาไฟ ใครจ่าย? ไขข้อสงสัย

Tesla

        เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2568 ได้เกิดอุบัติเหตุครั้งใหญ่ที่เรียกความสนใจจากผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) และผู้ขับขี่ทั่วไป เมื่อรถยนต์ Tesla พุ่งชนเสาไฟฟ้าจนขาดครึ่งในพื้นที่จังหวัดชลบุรี เหตุการณ์นี้สร้างความเสียหายมหาศาล และนำมาสู่คำถามสำคัญที่หลายคนสงสัย: เมื่อรถ EV ราคาแพงประสบอุบัติเหตุร้ายแรงเช่นนี้ ประกันภัยจะเข้ามาจัดการอย่างไรบ้าง?

1. เหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างไร และใครได้รับความเสียหายบ้าง?

  1. รายละเอียดเหตุการณ์
  2.           อุบัติเหตุครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงเช้ามืดเวลาประมาณ 03.30 น. ในซอยสยามคันทรีคลับ ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี โดยรถยนต์ Tesla คันหนึ่งได้ขับมาด้วยความเร็ว และเกิดเสียหลักพุ่งชนเข้ากับเสาไฟฟ้าข้างทางอย่างรุนแรง

  3. ความเสียหายที่เกิดขึ้น
  4.           ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์นี้แบ่งออกได้เป็น 3 ส่วนหลัก ดังนี้

ผู้ที่ได้รับความเสียหาย รายละเอียดความเสียหาย ผู้รับผิดชอบ (เบื้องต้น)
รถยนต์ Tesla เสาไฟฟ้าขาดครึ่ง (ทรัพย์สินของการไฟฟ้า), รถยนต์เก๋งคันอื่นที่จอดอยู่ข้างทาง, ร้านค้า หรือสิ่งปลูกสร้างริมทาง ประกันรถยนต์ภาคสมัครใจ (ชั้น 1)
ทรัพย์สินบุคคลภายนอก ตัวรถด้านหน้าพังยับเยิน เสียหายหนักจนอาจต้องพิจารณาซ่อมใหญ่หรือเข้าข่ายเสียหายสิ้นเชิง (Total Loss) ประกันรถยนต์ภาคสมัครใจ (ชั้น 1)
ผู้ขับขี่/บุคคลอื่น ผู้ขับขี่รถ Tesla (ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย) ประกันรถยนต์ภาคบังคับ (พ.ร.บ.) และ ประกันชั้น 1 หมวดค่ารักษาพยาบาลส่วนบุคคล

2. จากเหตุการณ์นี้ ประกันชั้น 1 และ พ.ร.บ. คุ้มครองอย่างไร?

          อุบัติเหตุครั้งนี้ถือเป็นกรณีที่กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์เข้ามามีบทบาทอย่างเต็มที่ โดยมีรายละเอียดความคุ้มครองดังนี้:

  1. ประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ (ประกันชั้น 1)
  2.           เนื่องจากความเสียหายรุนแรงและครอบคลุมทั้งตัวรถและทรัพย์สินของผู้อื่น ประกันชั้น 1 จะเข้ามารับผิดชอบในทุกส่วน:

    • ความเสียหายต่อรถยนต์ Tesla (รถเรา)
      • ประกันจะจ่ายค่าซ่อมแซมความเสียหายของตัวรถทั้งหมด
      • หากความเสียหายเกิน 70-80\% ของมูลค่ารถ (ตามเงื่อนไขกรมธรรม์) บริษัทประกันอาจพิจารณาจ่ายเงินชดเชยตามทุนประกันเต็มจำนวน โดยถือเป็นความเสียหายสิ้นเชิง (Total Loss)
    • ความเสียหายต่อทรัพย์สินบุคคลภายนอก
      • ประกันชั้น 1 จะเข้าชดใช้ความเสียหายต่อทรัพย์สินของผู้อื่นทั้งหมด ตามวงเงินที่ระบุในกรมธรรม์ (รวมถึงค่าซ่อมแซม/ติดตั้งเสาไฟฟ้าใหม่ และความเสียหายต่อรถยนต์คันอื่น)
    • ค่ารักษาพยาบาลส่วนบุคคล
      • ประกันจะจ่ายค่ารักษาพยาบาลของผู้ขับขี่และผู้โดยสาร (ตามที่ระบุในกรมธรรม์) ส่วนที่เกินวงเงินของ พ.ร.บ.
  3. ประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ (พ.ร.บ.)
  4.           พ.ร.บ. จะเข้าคุ้มครองในส่วนของชีวิตและร่างกายของผู้ที่ประสบอุบัติเหตุจากรถทุกฝ่าย (ไม่ว่าจะเป็นผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร หรือบุคคลภายนอก) โดยจะจ่ายค่าเสียหายเบื้องต้นโดยไม่ต้องรอพิสูจน์ถูกผิด และมีวงเงินความคุ้มครอง ดังนี้

    ความคุ้มครอง (ต่อ 1 คน) วงเงินขั้นต่ำ (ปัจจุบัน)
    ค่ารักษาพยาบาล (บาดเจ็บ) สูงสุด 80,000 บาท
    กรณีเสียชีวิต/ทุพพลภาพถาวร สูงสุด 500,000 บาท

3. แนะนำปรึกษาเรื่องเงื่อนไขความคุ้มครอง และเช็คราคาเบี้ยประกันฟรี

          อุบัติเหตุครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า การเลือกประกันชั้น 1 ที่มีวงเงินความรับผิดชอบต่อทรัพย์สินบุคคลภายนอกสูงนั้นสำคัญอย่างยิ่ง เพราะค่าเสียหายของเสาไฟฟ้า รถยนต์คันอื่น และทรัพย์สินร้านค้า อาจมีมูลค่าสูงมาก

หากท่านกังวลเกี่ยวกับเงื่อนไขความคุ้มครอง หรือต้องการเช็คเบี้ยประกันรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในราคาที่คุ้มค่า

  • ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: ก่อนตัดสินใจต่ออายุหรือเลือกซื้อประกัน ควรปรึกษาผู้ให้บริการประกันภัยที่เชี่ยวชาญด้านรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ เพื่อให้มั่นใจว่าทุนประกันรถ EV และวงเงินความรับผิดชอบต่อบุคคลภายนอก (ทรัพย์สิน) ครอบคลุมเพียงพอต่อความเสี่ยงของรถราคาสูง
  • เช็คราคาเบี้ยประกันฟรี: ท่านสามารถเปรียบเทียบเงื่อนไขและราคาเบี้ยประกันรถยนต์ชั้น 1 จากบริษัทประกันชั้นนำต่าง ๆ ได้ เพื่อให้ได้แผนที่คุ้มค่าที่สุดก่อนถึงกำหนดต่ออายุ ติดต่อ Allinsure เพื่อรับคำปรึกษาและเช็คราคาเบี้ยประกันฟรี

About